วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กฎธรรมชาติ



กฎธรรมชาติ นิยาม 5 ประการนี้ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกและในอนันตจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามกฎทั้ง 5 ประการนี้

1. อุตุนิยาม (Physical Laws) คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของปรากฏการณ์ ในธรรมชาติ เกี่ยวกับวัตถุที่ไม่มีชีวิตทุกชนิด หลักของอุตุนิยาม ตามแนวพระพุทธศาสนามุ่งให้ผู้ที่เข้าใจเกี่ยวกับกฎธรรมชาติที่ว่าด้วยวัตถุ ซึ่งก็คือเมื่อมีเหตุปัจจัยเพียงพอก็จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมัน ไม่มีใครเป็นผู้กำหนดหรือห้ามได้ เช่น การที่จะเกิดฝนตก ก็มีเหตุปัจจัยเพียงพอให้เกิดฝนตก เช่น การระเหยของน้ำบนดิน การรวมตัวของก้อนเมฆ การเกิดลมพัด การกระทบกับความเย็น ก่อให้เกิดฝนตก เป็นต้น หากเราเข้าใจธรรมชาติเช่นนี้ ก็จะทำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างมีความสุข อุตุนิยาม คือลักษณะสภาวะต่างๆของธาตุทั้ง5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ

2. พีชนิยาม (Biological Laws) คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช และสัตว์ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่ากฎธรรมชาตินี้ทำให้เมื่อเรานำเมล็ดข้าวเปลือกไปเพาะ ต้นที่งอกออกมาจะต้องเป็นต้นข้าวเสมอ หรือช้างเมื่อออกลูกมาแล้วย่อมเป็นลูกช้างเสมอ ความเป็นระเบียบนี้พระพุทธศาสนาค้นพบว่าเป็นผล มาจากการควบคุมของธัมมตาทั้ง3 คือ สมตา (การปรับสมดุล) วัฏฏตา (การหมุนวนเวียน) และ ชีวิตา (การมีหน้าที่ต่อกัน) นั่นเอง

3. จิตนิยาม (Psychic Laws) คือ กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับกลไกการทำงานของจิต พระพุทธศาสนา ค้นพบว่า คนเราประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 2 ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นผลมาจากจิตนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต กระบวนการของความคิด พระพุทธศาสนาเชื่อว่าคนเรา (รวมทั่งสิ่งมีชีวิตอื่น) ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของชีวิต คือ จิต จิตในทัศนะของพุทธศาสนาเป็นสิ่งต่างหากจากกาย ในฐานะที่เป็นสิ่งหนึ่งต่างหากจากกาย จิตก็มีกฎเกณฑ์ในการทำงาน เปลี่ยนแปลงและแสดงพฤติกรรม เป็นแบบฉบับเฉพาะตัว จิตนิยาม ได้แก่ นามธาตุ

4. กรรมนิยาม (Karmic Laws) คือกฎแห่งเหตุผล กฎแห่งการให้ผลของการกระทำ กฎอันเป็นเหตุเป็นผลของธรรมชาติแบ่งออกเป็น 2 อย่าง ทางนามธรรมและทางรูปธรรม ทางนามธรรม นี่คือ กฎแห่งกรรม คือการกระทำของจิต ทางรูปธรรม คือกฎแห่งกิริยา คือการกระทำของสิ่งไม่มีชีวิต โดยเฉพาะกฎแห่งกรรมที่เกิดจากจิตนิยาม คือมีเจตนา นั้นในทางพุทธศาสนานั้นทำให้เกิดอจินไตยทั้ง 4 (สิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยการอาศัยตรรกะหรือความคิด)ที่ไม่อาจใช้เครื่องมือ ใดๆพิสูจให้เห็นประจักษ์โดยทั่วกันได้ นอกจากจะบรรลุธรรมด้วยตนเอง

5. ธรรมนิยาม (General Laws) คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความเป็นเหตุเป็นผลของสิ่งทั้งหลาย เป็นกฎสากลที่ครอบคลุมความเป็นไปทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุ กฎข้อนี้มีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวางที่สุด กฎ 4 ข้อข้างต้นสรุปรวมลงในข้อสุดท้ายนี้ อันได้แก่กฎไตรลักษณ์ทั้ง3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

จากการค้นพบธรรมะดังกล่าวนี้ ทำให้เราทราบว่า ความรู้เรื่องจักรวาลวิทยาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่ง ของธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบเท่านั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่พระองค์ทรงค้นพบ แล้วมิได้นำมาตรัสให้ฟัง และเรื่องที่นำมาตรัสนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ฟังได้ข้อคิดแนวทางในการปฏิบัติธรรม เพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ หรือ นิพพาน นั่นเอง

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จังหวัดใหม่ของประเทศไทย จังหวัดที่77บึงกาฬ

















จังหวัดที่ 77 ของไทย ..
นาย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมข้าราชการและประชาชนนับหมื่นคน ร่วมทำบุญและทำพิธีเปิดประตูเมืองบึงกาฬ ที่เพิ่งได้รับการประกาศให้เป็นจังหวัดอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 23 มีนาคม 2554
จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดที่มีการร้องขอให้จัดตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2537 ตาม ข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย
จากการสำรวจความเห็นของประชาชน จำนวน 366,903 คน ปรากฏว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ร้อยละ 98.83 หากมีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ จะมีประชากรประมาณ399,233 คน ประกอบด้วย 8 อำเภอ ส่วนจังหวัดหนองคาย จะประกอบด้วย 9 อำเภอ ประชากร506,343 คน
เมื่อปี พ.ศ. 2537 กระทรวง มหาดไทย ได้แจ้งผลการพิจารณาว่ายังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรีต่อมาในปี พ.ศ. 2553 กระทรวง มหาดไทย ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ... ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะ รัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้เป็น ต้นไป จึงนับได้ว่าขณะนี้จังหวัดบึงกาฬได้แยกตัวออกจากจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัด ที่ 77 ในราชอาณาจักรไทย
อำเภอเมืองบึงกาฬอำเภอ เมืองบึงกาฬ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดบึงกาฬ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง และอีกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) มีการคมนาคมสะดวก ประวัติเดิมอำเภอบึงกาฬมีชื่อเดิมว่า ไชยบุรีซึ่งขึ้นกับจังหวัดนครพนม
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2460 ได้ถูกโอนย้ายให้ขึ้นต่อจังหวัดหนองคาย และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บึงกาฬ ในปี พ.ศ. 2482ต่อมา ในปี พ.ศ. 2537 ได้ มีการร้องขอให้จัดตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย แต่กระทรวงมหาดไทย ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรีจนกระทั่ง
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 ใน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ ส.ส.ส่วน พรรคกิจสังคมได้ตั้งกระทู้ถามสดต่อนายกรัฐมนตรี เรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ และทางกระทรวงมหาดไทยเห็นด้วย กำลังอยู่ในกระบวนการนำเข้าเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งเรื่องเข้ามาสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอเป็นกฎหมายพ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อไปต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะ รัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้ เป็นต้นไป จึงทำให้อำเภอบึงกาฬ ได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเมืองบึงกาฬ
สถานที่ท่องเที่ยว
ภูทอก

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว
ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอบึงกาฬ อำเภอบุ่งคล้า เพิ่มวิดีโอ
อำเภอเซกา และอำเภอบึงโขงหลง
มีน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อธิปไตย3กับการบริหาร

อธิปไตยกับการบริหาร

ในการบริหารนั้นมีการบริหารอยู่หลายระดับสูงสุดนั่นก็คือ การบริหารประเทศ หรือการปกครองประเทศ และรองลงมาก็จะเป็นการบริหารของหน่วยงานในกระทรวง ทบวง กรม และองค์กรต่างๆ ตามลำดับ และถ้าเราจะแยกการบริหารออกมาอีกในการเปรียบเทียบการทำงานที่เห็นได้ชัดก็จะเป็นการบริหารงานในภาครัฐหรือเรียกว่าการบริหารรัฐกิจและการบริหารงานภาคเอกชน หรือเรียกว่าการบริหารธุรกิจ เป็นต้น ในการบริหารนั้นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือ ผู้นำหรือผู้บริหาร รูปแบบหรือการบริหารงานใด ๆ จะให้ไปในทิศทางไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้บริหารกำหนด ดังนั้นในการบริหารจึงเจาะประเด็นไปในเรื่องของผู้บริหารเป็นหลักว่าผู้บริหารจะ ใช้หลักการอย่างไรในการบริหารงาน
เมื่อพูดถึงผู้บริหารแล้วเราก็จะนึกถึงอำนาจเป็นอันดับแรกในหลักพระพุทธศาสนานั้นได้แบ่งอำนาจหรือที่เรียกว่า อธิปไตยไว้ ๓ ประเภท คือ

๑. อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ คือ ถือเอาตนเอง ฐานะ ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิของตนเป็นใหญ่ กระทำการด้วยการปรารภตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นประมาณ ในฝ่ายกุศล ได้แก่ เว้นชั่ว ทำดี ด้วยเคารพตน
ลักษณะของอัตตาธิปไตย ถ้าเป็นตัวบุคคลก็เป็นบุคคลที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป โดยไม่ยอมฟังความคิดเห็นของคนอื่น เอาแต่ใจตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งใดที่เราได้ทำตามใจตัวเอง เรามีความสบายใจเพราะการกระทำของเรา แต่สิ่งนั้นอาจกระทบกระเทือนถึงประโยชน์และชีวิตของผู้อื่น คนที่เป็นอัตตาธิปไตยไม่ได้คำนึงถึงข้อนี้ตนคิดว่าจะทำอะไรก็ทำลงไป ไม่ได้พิจารณาว่า มันจะกระทบกระเทือนคนอื่นไหม จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนไหม จะทำให้เราเดือดร้อนไหม


๒. โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ คือ ถือความนิยมของชาวโลกเป็นใหญ่ หวั่นไหวไปตามเสียงนินทาและสรรเสริญ กระทำด้วยปรารถนาจะเอาใจผู้นั้น หาความนิยม หรือหวั่นกลัวเสียงกล่าวว่าเป็นประมาณ ในฝ่ายกุศลได้แก่ เว้นชั่ว ทำดีด้วยเคารพเสียงหมู่ชน
ลักษณะของคนที่เป็นโลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ อะไรที่ชาวโลกเขานิยมชมชอบ แม้จะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรมก็ตาม ก็ทำไปตามความคิดเห็นของโลก หรือความคิดเห็นของชาวบ้าน ซึ่งบางทีก็ทำให้ตัวเองต้องกลายเป็นคนอ่อนแอ หรือในบางครั้งเราอาจจะเห็นว่า เมื่อมติของคนส่วนมากมีความคิดเห็นอย่างนี้ แม้ว่าสิ่งนั้นมันอาจเป็นการทำลายผลประโยชน์ของคนอื่น หรือเป็นการลบหลู่เกียรติและชื่อเสียงของคนใดคนหนึ่งก็ตาม


๓. ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ ถือหลักการความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม เหตุผลเป็นใหญ่ กระทำด้วยปรารภสิ่งที่ได้ศึกษา ตรวจสอบตามข้อเท็จจริง และความเห็นที่รับฟังอย่างกว้างขวาง แจ้งชัด และพิจารณาอย่างดีเต็มขีดแห่งสติปัญญา มองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นไปโดยชอบธรรม และเพื่อความดีงามเป็นประมาณ อย่างสามัญได้แก่ ทำการด้วยความเคารพ หลักการ กฎ ระเบียบ กติกา

มื่อเรานำอธิปไตยทั้ง ๓ อย่าง มาจับประเด็นของการบริหารว่าหากผู้บริหารใช้อำนาจแต่ละอย่างจะทำให้การบริหารนั้นมีผลไปในทิศทางใด และจะเป็นอย่างไรในที่นี้จะอธิบายถึงการใช้อำนาจในการบริหารหรือการปกปกครอง ๒ ระดับ คือการบริหารปกครองระดับประเทศและการบริหารงานในระดับหน่วยงานหรือองค์การต่าง ๆ โดยรวมกล่าวคือ
๑.ในการบริหารประเทศหรือปกครองประเทศนั้น การปกครองทุกระบอบ มีองค์ประกอบสำคัญ คือ อำนาจตัดสินใจ อันนี้เป็นตัวกำหนดเด็ดขาด การปกครองระบอบต่างๆ ทั้งหลายนั้น เมื่อมองไปให้ถึงที่สุดตัวกำหนดก็อยู่ที่ อำนาจตัดสินใจ หมายความว่า อำนาจตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่ไหน การปกครองก็คือระบอบนั้น จะเป็นระบอบการปกครองไหนก็ดูว่าอำนาจตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่ใด
๑.ถ้าอำนาจตัดสินใจอยู่ที่บุคคลผู้เดียว ก็เป็น เผด็จการ
๒.ถ้าอำนาจตัดสินใจอยู่ที่คณะบุคคล ก็เป็น คณาธิปไตย
๓.ถ้าอำนาจตัดสินใจอยู่ที่ประชาชน ก็เป็น ประชาธิปไตย

๑.ถ้าเอาตัวเอง เอาความยิ่งใหญ่ของตน เอาความทะนงของตัว เอาทิฐิความเห็น ความเชื่อ ยึดถือส่วนตัว เอาผลประโยชน์ของตนเป็นเกณฑ์ตัดสินใจ ก็เป็น อัตตาธิปไตย

๒.ถ้าตัดสินใจไปตามกระแสความนิยม เสียงเล่าลือ หรือแม้แต่ไม่เป็นตัวของตัวเอง คอยฟังว่าใครจะว่าอย่างไร อย่างที่ว่า แล้วแต่พวกมากลากไป หรือตามแรงกดดัน จะเอาใจเขา จะหาคะแนน หรือตอบแทนการเอื้อประโยชน์ ก็เป็น โลกาธิปไตย

๓.ถ้าเอาความจริง ความถูกต้องดีงาม หลักการ กฎ กติกา เหตุผล ประโยชน์ที่แท้จริงของชีวิตและสังคม เป็นเกณฑ์ตัดสินใจ โดยใช้ปัญญาหาข้อมูลตรวจสอบข้อเท็จจริง และความคิดเห็นที่รับฟังอย่างกว้างขวาง ให้ถ่องแท้ ชัดเจน และพิจารณาอย่างดีที่สุด เต็มขีดแห่งสติปัญญา จะมองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็เป็น ธรรมาธิปไตย
ฉะนั้น ผู้เผด็จการ ก็เป็นได้ทั้ง อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย และธรรมาธิปไตย คณาธิปไตย ก็เป็นได้ทั้ง อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย และธรรมาธิปไตย ประชาธิปไตย ก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นได้ทั้ง อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย และธรรมาธิปไตย แต่ที่เราต้องการ ซึ่งดีที่สุด คือให้เป็นธรรมาธิปไตย
ถ้าเป็นผู้เผด็จการใช้เกณฑ์ตัดสินใจแบบธรรมาธิปไตย ก็เป็นเผด็จการที่ดี แต่เรากลัวว่าเขาจะตัดสินใจไม่รอบคอบ เพราะรู้ข้อมูลไม่ทั่วถึง หรือปัญญาอาจจะไม่พอ เป็นต้น ถ้าคณาธิปไตยที่ไหน เป็นธรรมาธิปไตย มันก็ยังดี คือเป็นอย่างดีที่สุดของคณาธิปไตย แต่เราเห็นว่ายังมีจุดอ่อนอยู่มากทีนี้เราหวังว่า ถ้าระบอบเป็นประชาธิปไตย และคนใช้อำนาจตัดสินใจด้วยเกณฑ์ธรรมาธิปไตย ก็จะดีที่สุดจะเป็นอย่างนี้ได้ ก็ต้องให้ประชาชนทุกคนเป็นธรรมาธิปไตย เพราะประชาชนทุกคนมีอำนาจตัดสินใจ ตั้งแต่เลือกตั้งเลยทีเดียว ทุกคนต้องตัดสินใจเลือกด้วยเกณฑ์ธรรมาธิปไตย
๒.ในการบริหารระดับหน่วยงานซึ่งการบริหารในปัจจุบันก็มีหลักการบริหารคือในปัจจุบัน การบริหารงานหรือการจัดการองค์กรมีความจำเป็นต้องใช้ศาสตร์ในการบริหารงาน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากโลกในยุคปัจจุบันเป็นระบบทุนนิยม หรือบริโภคนิยมที่แสวงหากำไร และ มีการแข่งขัน เพื่อให้เหนือกว่าคู่แข่ง ทั้งในเชิงบริหารงาน และการพัฒนาองค์กร ให้บรรลุผลตามเป้าหมายขององค์กร จึงมีหลักการบริหารสมัยใหม่เข้ามาเป็นกลยุทธ์ หรือหลักการในการบริหารจัดการ การบริหารงานองค์กรมีองค์ประกอบสำคัญที่นักบริหารงาน ควรคำนึง เพื่อให้การบริหารงานประสบความสำเร็จ ประกอบไปด้วย เงิน (money) วัตถุดิบ (materials) เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ (machine or equipment) และแรงงาน หรือคน (man) องค์ความรู้ในการบริหารงาน
แต่ถ้าเราจะนำอธิปไตยหรือการใช้อำนาจทั้ง ๓ อย่างทางพระพุทธศาสนามาจับประเด็นในการใช้อำนาจของผู้บริหารนั้นว่าหากใช้อำนาจแบบอัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย และธรรมาธิปไตยแล้วการทำงานหรือผลขอการทำและปัจจัยที่เกี่ยวข้องจะเป็นอย่างไร กล่าวได้คือ
๑.หากผู้บริหารใช้อำนาจแบบอัตตาธิปไตย คือ ถือตนเป็นใหญ่ก็จะทำให้ผู้บริหารใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ คือ ไม่ฟังเสียงของผู้ร่วมทำงานอาจทำให้การทำงานบกพร่องได้ ผู้คนในหน่วยงานก็อาจจะไม่ชอบก็ได้เพราะทำอะไรตามใจของตนไม่สนใจผู้อื่น ใช้อำนาจในการสั่งการโดยไม่คำนึงถึงความสามารถของแต่ละบุคคล ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ใครทำอะไรไม่ถูกใจก็อาจจะถูกลงโทษเพราะใช้อำนาจตัดสินใจโดยยึดถือตนเป็นใหญ่ การใช้อำนาจอย่างนี้ ในการบริหารงาน ก็ทำให้ผู้บริหารนั้นได้งานแต่ไม่ได้คน เพราะยึดถือตนเป็นใหญ่ผู้ร่วมทำงานหรือลูกน้องก็ต้องกลัวอำนาจก็ทำงานตามคำสั่งอย่างเคร่งคัด แต่ผู้ร่วมงานหรือลูกน้องไม่ชอบผู้บริหารเพาระใช้อำนาจมากเกินไปไม่มีใครกล้าขัดอำนาจนั้น ทำอะไรตามใจตนคือผู้บริหารโดยไม่คำนึงถึงผู้ปฏิบัติงานจึงไม่ได้ใจของผู้ร่วมงาน ไม่มีใครจะยุ่งเกี่ยวด้วย จึงได้งานแต่ไม่ได้คนหรือที่เรียกว่าไม่มีบริวาร
๒.หากผู้บริหารใช้อำนาจแบบโลกาธิปไตย คือ ถือโลกเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นผู้บริหารที่นิยมเอาใจผู้ร่วมงานที่เข้ากันได้หรือไปด้วยกันได้ เป็นผู้บริหารที่ชอบให้ลูกน้องเอาใจ ยกยอสรรเสริญ ทำผู้ร่วมงานมีความนิยมชมชอบทำให้ผู้บริหารไหวหวั่นไปตามกระแสของสังคมหรือในหน่วยงานนั้นๆเคารพยอมรับความคิดเห็นของผู้ร่วมงานโดยไม่คำนึงถึงความผิดหรือความถูกต้องก็อาจทำให้การใช้อำนาจตัดสินใจไปในทางที่ผิดได้เพราะตัดสินใจเพื่อเอาใจผู้ร่วมงาน โดยหย่อนยานหรือบกพร่องต่อการตรวจสอบการทำงานของผู้ปฏิบัติงานจึงอาจทำให้งานที่ทำอยู่เสียหายได้ ผู้ปฏิบัติงานอาจจะไม่ปฏิบัติตามหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้เพราะถือตนว่ามีความสนิทกับผู้บริหาร คงไม่มีการลงโทษอะไรมากนักเพราะคิดว่าผู้บริหารใจดี การที่ผู้บริหารใช้อำนาจแบบโลกาธิปไตยโดยถือโลกเป็นใหญ่จึงเป็นผลทำให้ผู้บริหารได้ใจคนแต่ไม่ได้งานหรือไม่ได้ผลงานตามเป้าหมาย
๓.หากผู้บริหารใช้อำนาจตามหลักธรรมาธิปไตย คือ ถือธรรมะเป็นใหญ่ คำว่า "ธรรม" ในที่นี้ หมายถึง ความจริง ความ ถูกต้อง ความดีงาม ประโยชน์สุขที่แท้จริง รวมทั้งหลักการที่จะให้เกิดความดีงาม ความ ถูกต้องเหล่านี้ การที่เราจัดตั้งวางหลักต่างๆ เช่น หลักการทางรัฐศาสตร์ หลักการทาง นิติศาสตร์ หลักการทางเศรษฐศาสตร์ หรือหลักการเองใดๆ ก็ตาม ก็เพื่อให้มีเกณฑ์ มี มาตรฐานในการที่จะดำเนินงาน เพื่อสร้างสรรค์ทำให้เกิดความดี ความงาม ความถูกต้อง และประโยชน์สุขที่แท้จริง ในหน่วยงานหากผู้บริหารยึดหลักธรรมาธิปไตยก็จะทำให้ผู้ร่วมงานเกิดความมั่นใจในการทำงาน เพราะผู้บริหารยึดความถูกต้องเป็นหลัก ไม่มีที่รักมักที่ชัง ใครทำผิดก็ว่าไปตามความผิด ใครทำงานดีก็มีรางวัลมอบให้เพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน เห็นแก่ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม และยึดถือตามหลักการ กฎกติกา รวมทั้งการตัดสินใจที่ไม่เอนเอียงไปข้างไหน ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ ไม่เห็นแก่พรรคพวก มีความชัดเจนในการทำงาน ความโปร่งใสในการทำงานเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ผู้ร่วมงานได้ยึดไปปฏิบัติ หากในหน่วยงานทุกคนยึดหลักธรรมในการทำงานก็ทำให้งานคร่องตัว มีประสิทธิภาพในการทำงานและเกิดประสิทธิผลหรือประโยชน์ต่อหน่วยงานทำให้งานบรรลุวัตถุประสงค์และบรรลุเป้าหมายและยังรวมถึงการเป็นหนึ่งเดียวความมีเอกภาพมีความสามัคคีในหน่วยงานที่เกิดจากผู้บริหารใช้หลักธรรมาธิปไตย คือ ถือธรรมะเป็นใหญ่จึงทำให้ผู้บริหารได้ทั้งใจคนได้ทั้งงาน หรือเรียกว่า งานก็ได้บริวารก็มี คือได้ทั้งงานได้ทั้งคน



วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ปัญหาจริยธรรมการเมืองไทย

สัมมนาปัญหาจริยธรรมทางการเมืองการเมืองของไทย
แนวคิดทฤษฎีการเมืองยุคใหม่
ทฤษฎีว่าด้วยรัฐและการปกครองระบอบ สาธารณรัฐประชาธิปไตย ตามแนวคิดของมองเตสกิเออ (Montesquieu) คือธรรมชาติหรือโครงสร้างของการปกครองระบอบนี้ก็คืออำนาจอธิปไตยอยู่ที่องค์คณะประชาชน ผู้ซึ่งในบางแง่ก็เป็นองค์อธิปัตย์ ในอีกบางแง่ก็เป็นผู้อยู่ใต้ปกครองคณะประชาชนเป็นองค์อธิปัตย์ เมื่อเขาลงคะแนนเสียงซึ่งก็เป็นเจตจำนงของเขาเอง “เจตจำนงขององค์อธิปัตย์ก็คือตัวองค์อธิปัตย์นั่นเอง”
ดังนั้น กฎหมายที่จัดตั้งสิทธิออกเสียงจึงเป็นกฎหมายมูลฐานในการปกครองระบอบนี้ ในฐานะองค์อธิปัตย์ประชาชนจะต้องทำด้วยตัวเองสิ่งที่เขาสามารถทำได้ดี สิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ดี เขาจะต้องให้รัฐมนตรีหรือเจ้าหน้าที่ที่เขาเป็นผู้เลือก เป็นผู้กระทำการแทน
ปัญหาการเมืองไทย
1. สังคมและวัฒนธรรมไทย เป็นระบบอุปถัมภ์
วัฒนธรรม จารีต ความเชื่อ วิถีชีวิตของสังคมไทย เป็นสังคมที่พึ่งพาอาศัยกัน
ให้ความเคารพผู้อาวุโส เป็นสังคมที่มี ผู้ใหญ่ และผู้น้อย เป็นสถานภาพที่สำคัญ ผู้ที่มีตำแหน่งที่ต่ำกว่าคือ “ผู้น้อย” จะต้องเคารพและเกรงใจ “ผู้ใหญ่” ซึ่งมีฐานะตำแหน่งที่สูงกว่า และยังยึดถือค่านิยมที่ให้ความสำคัญของตัวบุคคล เป็นความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ ที่สืบทอดมายาวนานจนถึงปัจจุบัน สังคมและวัฒนธรรมไทยแบบอุปถัมภ์ จึงมีผลทำให้วัฒนธรรมการเมืองไทย เป็นความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ ยังคงยึดถือให้ความสำคัญกับตัวบุคคล ผู้มีอำนาจทางการเมือง และอำนาจเงินตรา ดังจะเห็นได้จากสมาชิกของพรรคการเมือง จะเคารพและเกรงใจผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรค หรือผู้มีอำนาจในพรรค และพร้อมที่จะสนับสนุนหัวหน้าพรรคตลอดเวลา เพื่อหวังการมีตำแหน่งทางการเมือง เช่น การได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งที่สำคัญในรัฐบาล ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
2. การจัดตั้งพรรคการเมือง
พรรคการเมืองกำเนิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนในตัวผู้นำ ให้ความสำคัญกับผู้เป็นผู้นำหรือหัวหน้าพรรค พรรคจะเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมโทรมหรือยกเลิก การสิ้นสุดของพรรคนั้นขึ้นอยู่กับบุคคลที่เป็นหัวหน้าพรรค
พรรคการเมืองไทยไม่ได้ เกิดจากการรวมตัวกันของผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน แต่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มต่าง ๆ ในพรรคการเมือง ทำให้เกิดการแบ่งเป็นกลุ่ม เป็นวัง เป็นก๊วน หรือขั้วต่าง ๆ ภายในพรรค และกลุ่มต่าง ๆ ก็จะพยายามต่อรองผลประโยชน์ของกลุ่มภายในพรรค เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และผลประโยชน์ หรือให้สมาชิกในกลุ่มได้รับการจัดสรรตำแหน่งทางการเมือง เช่น ตำแหน่งรัฐมนตรี ตามกระทรวงต่าง ๆ โดยที่กลุ่มต่าง ๆ คำถึงแต่ผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง โดยมิได้ดูแลผลประโยชน์โดยส่วนรวมและผลประโยชน์ของชาติ
พรรคการเมืองไทย ขาดความเป็นอิสระในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เนื่องจากพรรคการเมืองตกอยู่ภายใต้อำนาจและอิทธิพลของชนชั้นนำซึ่งเป็นผู้มั่งคั่งทางเศรษฐกิจ อิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ของฝ่ายนายทุนรายใหญ่ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการให้เงินอุดหนุนแก่พรรคการเมือง เนื่องจากระบบการเลือกตั้งเป็นระบบที่ใช้เงินเป็นใหญ่ทั้งในการเลือกตั้งและในพรรคการเมือง จึงทำให้พรรคการเมืองต้องพึ่งพากลุ่มนายทุนรายใหญ่ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็น “ธุรกิจการเมือง” หรือ “การเมืองแบบทุนนิยม” พรรคการเมืองที่ขาดการอุดหนุนจากนายทุนรายใหญ่ แม้พรรคจะมีอุดมการณ์ทางการเมือง และมีบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความรู้ความสามารถ มีอุดมการณ์ทางการเมือง ก็ไม่สามารถรวมตัวเป็นพรรคการเมืองได้ หรือหากรวมตัวกันได้ ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจะเห็นได้จากการเลือกตั้งในทุก ๆ ครั้ง ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็จะเป็นคนเก่า อุดมการณ์เดิม ๆ
ดังนั้น การเมืองระบบทุนนิยม คือ การมีพรรคการเมืองที่มีฐานทุนนิยมผูกขาดและสามารถกว้านซื้อเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนเก่าซึ่งเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลและมีฐานเสียงมากมาเป็นสมาชิกของพรรค เพื่อซื้อและขยาย “ฐานเสียง” ในการเลือกตั้ง เพื่อให้พรรคเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากที่สุดในรัฐสภา เป็นการเมืองที่ใช้เงินทำลายคุณธรรมทางการเมือง โดยไม่ได้คำนึงถึงวิถีทางประชาธิปไตย
3. ผู้นำของพรรคการเมือง
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พรรคการเมืองไทย ดึงตัวผู้นำที่เป็นบุคคลระดับที่มีชื่อเสียงมาเป็นผู้นำของพรรคการเมืองหรือเป็นผู้บริหารพรรค เนื่องจากการที่พรรคการเมืองได้ผู้นำทางการเมืองของพรรคเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของประชาชนโดยทั่วไปแล้วจะทำให้พรรคได้รับความนิยมจากประชาชน จากการศึกษาจะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองจะยึดหลักตัวบุคคลที่เป็นผู้นำและกลุ่มอำนาจที่ครอบงำพรรค โดยที่มิได้คำนึงถึงว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่ยึดหลักอุดมการณ์ทางการเมือง หรือเป็นผู้ที่ยึดมั่นในจริยธรรมและคุณธรรม มากน้อยเพียงใด การที่พรรคอาศัยตัวบุคคล ยึดมั่นในตัวบุคคล เมื่อตัวบุคคลสิ้นสภาพลงในทางการเมือง หรือยกเลิกบทบาททางการเมืองของตนเอง ก็จะส่งผลกระทบต่อพรรคการเมืองอาจทำให้พรรคหมดความนิยมหรือต้องล้มเลิกพรรคไป
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ผู้นำทางการเมืองจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ผู้ปกครองที่มีคุณธรรมคือผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ แยกแยะสิ่งที่ดีออกจากสิ่งที่ไม่ดี แยกแยะประเด็นด้านจริยธรรมได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผู้นำพรรคการเมือง จะต้องมีคุณธรรมในเรื่องดังต่อไปนี้
1. มีความซื่อสัตย์สุจริต
2. เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง
3. ถือประโยชน์ของชาติเหนืออื่นใด
4. สร้างความรู้รักสามัคคีของคนในชาติ
4. การขาดความชอบธรรม คุณธรรมและจริยธรรมของพรรคการเมือง นักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ในปัจจุบัน จะพบว่า พรรคการเมืองและนักการเมืองไทย หรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขาดความชอบธรรม คุณธรรมและจริยธรรมทางการเมือง เนื่องจากมุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยมิได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและของประเทศชาติอย่างแท้จริงร
รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรม คุณธรรม และจริยธรรม เนื่องจาก
1. รัฐบาลได้ประกาศนโยบายปราบปรามทุจริต คอร์รัปชั่น อย่างเร่งด่วน และต้องปฏิบัติให้ได้ผลอย่างจริงจัง แต่การปฏิบัติจริงผู้นำและคณะรัฐมนตรี กลับเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ทุจริต คอร์รัปชั่น และนโยบายของรัฐบาลยังเอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลในรัฐบาลและเครือญาติให้ได้รับผลประโยชน์ มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือคอรัปชั่นเชิงนโยบาย
2. รัฐบาลเข้าแทรกแซงองค์กรอิสระ และวุฒิสภา ส่งผลให้กลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ การบริหารมิอาจดำเนินไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
3. นโยบายประชานิยม เพื่อหวังประโยชน์ในการสร้างความนิยมในระดับรากหญ้า เช่น นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เป็นนโยบายที่ทำให้ประชาชน ยิ่งเป็นหนี้สินเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น
4. ผู้นำทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ มีปัญหาเรื่องความชอบธรรม ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ตั้งแต่ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่ามีการปกปิดทรัพย์สินบางส่วน เป็นการขัดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 295 ซึ่งในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัย ว่าไม่มีเจตนาหรือจงใจยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ (คดีซุกหุ้น) ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นผิดมาได้ ทำให้สังคมมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีอภิสิทธิชนเหนือกฎหมาย ต่อมาปี 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ มีปัญหาด้านจริยธรรม กรณีผลประโยชน์ของครอบครัวชินวัตร ในการขายหุ้นในเครือชินวัตร ให้กับเทมาเส็ก โฮลดิ้ง จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งสื่อมวลชนได้ตีแผ่ถึงผลประโยชน์ที่ได้มาของธุรกิจในตระกูลชินวัตร และถูกกดดันให้มีการตรวจสอบและให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจงกรณีดังกล่าว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้นิ่งเฉย และประกาศยุบสภา เพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการตรวจสอบของรัฐสภา
ความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย ความชอบธรรมคือความถูกต้องและ เป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น ผู้ที่ได้รับคะแนนบริสุทธิ์จากการเลือกตั้ง คะแนนนั้นไม่มีการซื้อเสียง ไม่มีอำนาจคุม เป็นคะแนนที่ประชาชนเป็นผู้เลือกมาให้เป็นผู้แทนของประชาชน บุคคลนั้นถือว่าเป็นคนที่มีความชอบธรรมสูง การใช้เสียงข้างมากในการบริหารประเทศอย่างชอบธรรม ถูกต้อง เมื่อเกิดความไม่ชอบธรรมในการบริหารประเทศจะทำให้คนแต่ละฝ่ายรวมตัวกัน เพื่อจะเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งและเรียกร้องให้เกิดความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
ดังนั้น พรรคการเมืองและนักการเมือง ต้องมีความชอบธรรม คุณธรรมและจริยธรรม
ความชอบธรรมทางการเมือง การใช้อำนาจของผู้นำทางการเมือง การบริหารงานให้มีความโปร่งใส โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม และถูกต้องสอดคล้องกับหลักจริยธรรมของสังคม ไม่เพียงเฉพาะถูกกฎหมายเพียงอย่างเดียว
คุณธรรมทางการเมือง คือ การเสียสละเพื่อรัฐและเพื่อส่วนรวม หมายถึงการเสียสละ การมีวินัย การไม่เห็นแก่ตัวของเราเอง ไม่มีความละโมบกระหายในสิ่งต่าง ๆ
คุณธรรมของนักการเมืองคือ ความซื่อสัตย์ สุจริต ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่นและต่อหน้าที่ ต่อชาติ
จริยธรรมที่สำคัญขั้นพื้นฐานคือ ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายเหมือนกัน และไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
หากพรรคการเมืองไทยและผู้นำทางการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีความชอบธรรมและมีคุณธรรมและจริยธรรมแล้ว ประเทศไทยก็จะไม่เกิดปัญหาเหมือนกับที่ผ่านมา และประเทศจะพัฒนาและเจริญก้าวหน้าเท่าเทียมกับประเทศอื่น ๆ
5. การจัดตั้งรัฐบาลเป็นรูปแบบผสม
ในสังคมการเมืองไทย นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ก็ไม่ปรากฏว่ามีพรรคการเมืองใดได้รับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎร รูปแบบของรัฐบาลจึงเป็นรัฐบาลผสม การเป็นรัฐบาลที่มีหลายพรรคการเมืองมาร่วมรัฐบาลย่อมทำให้ผู้นำรัฐบาลไม่สามารถบริหารงานได้อย่างอิสระได้ เพราะแต่ละพรรคการเมืองย่อมต้องการผลักดันนโยบายของพรรคตนเองให้เกิดผลตามที่สัญญาแก่ประชาชนไว้ และที่สำคัญมักจะมีการแก่งแย่งตำแหน่งทางการเมืองและผลประโยชน์อื่น ๆ ของบุคคลในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล แต่การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2548 พรรคไทยรักไทย นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นพรรคการเมืองที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยพรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น โดยมี ส.ส.ถึง 377 คน และจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองเดียว ทำให้เป็นรัฐบาลมีเสถียรภาพมาก จนกลายเป็นเผด็จการโดยพรรคการเมืองเดียว โดยคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันย่อมนำไปสู่การเกิดปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศในระยะต่อมา เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านไม่สามารถตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากเสียงของฝ่ายค้านมีไม่เพียงพอ
สรุปการมีรัฐบาลผสมที่มีพรรคการเมืองหลายพรรค ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องความขัดแย้งในการจัดสรรผลประโยชน์และการประสานงาน ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล แต่การมีรัฐบาลที่มีพรรคการเมืองเดียวก็ทำให้เกิดเผด็จการทางรัฐสภา ขาดการถ่วงดุลอำนาจและการตรวจสอบอย่างแท้จริง ทำให้พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล ดังที่เกิดปัญหาในรัฐบาลของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมา
6. การปฏิวัติและรัฐประหาร
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การรัฐประหารเป็นความขัดแย้งทางการเมืองของ
ฝ่ายทหารกับการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองจากรัฐบาล โดยการรัฐประหาร จากการที่ได้มีการรัฐประหารบ่อยครั้ง ทำให้พรรคการเมืองต้องยุบ และล่มสลายไปและทำให้การดำเนินการทางการเมืองต้องหยุดชะงักลง ไม่ต่อเนื่อง ทำให้ขาดเสถียรภาพทางการเมือง สถาบันทางการเมืองจะถูกยุบบ่อยครั้งมากที่สุด เมื่อคณะรัฐประหารสำเร็จ สิ่งที่จะกระทำเป็นสิ่งแรก คือ การยุบสภา การยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกพรรคการเมือง และในบางครั้งก็ถือโอกาสทำลายนักการเมืองไปด้วย โดยอำนาจคณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหาร เช่น การกระทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 ก็ได้ประกาศยุบพรรคการเมือง สั่งห้ามการชุมนุมทางการเมือง และเป็นเหตุให้พรรคเสรีมนังคศิลา แตกแยก กระจัดกระจาย จากนั้นก็หมดบทบาทไป และการทำรัฐประหาร ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) (ปัจจุบันแปรสภาพเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)) ซึ่งนำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ กระทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หมดอำนาจลง โดยประกาศของ คมช. ฉบับที่ 15 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มีผลใช้บังคับต่อไป และห้ามพรรคการเมืองดำเนินการประชุมหรือดำเนินกิจการใด ๆ ในทางการเมือง มีผลทำให้การดำเนินการทางการเมืองของพรรคการเมืองต่าง ๆ หยุดชะงัก ไม่ต่อเนื่อง
7. การมีส่วนร่วมของประชาชน
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ทำการแทน ให้ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ ประชาชนจึงเป็นผู้กำหนดทิศทางของประเทศชาติ ดังนั้นประชาชนจึงมีสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่ขายสิทธิขายเสียงของตน แต่การเลือกตั้งในทุก ๆ ครั้ง ก็ยังคงเกิดปัญหาการขายสิทธิและขายเสียง ดังนั้นการป้องกันและขจัดการซื้อสิทธิขายเสียง ผู้ที่จะถูกซื้อสิทธิ และผู้ที่จะตัดสินใจว่าจะยอมขายเสียงหรือไม่ก็คือประชาชน ประชาชนจึงเป็นผู้กำหนดที่แท้จริงว่าจะให้มีการซื้อสิทธิขายเสียงอยู่ต่อไปหรือไม่
นักการเมืองที่ซื้อเสียงมักอาศัยข้อด้อยของประชาชนที่ส่วนใหญ่มีความยากจน แต่หากประชาชนอ้างว่าที่ต้องขายสิทธิและขายเสียงเนื่องมาจากความยากจนแล้ว เมื่อเลือกนักการเมืองที่ซื้อสิทธิซื้อเสียง ได้เข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่ทางการเมืองแล้ว ก็ย่อมจะแสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองนั้น เพื่อการถอนทุนคืน ผลประโยชน์ก็จะไม่ตกมาถึงมือของประชาชน ก็จะทำให้ประชาชนยิ่งยากจนยิ่งขึ้น ดังนั้น หากประชาชนเลือกคนที่ไม่ดี พรรคการเมืองที่ไม่ดี ให้ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็เท่ากับว่าประชาชนได้สนับสนุนคนที่ไม่ดี พรรคการเมืองที่ไม่ดี เข้าไปบริหารประเทศ
การเลือกตั้งในชนบท มีการซื้อสิทธิขายเสียงกันมาก ปัจจุบันประชาชน ยังคงเลือกผู้แทนราษฎร โดยไม่คำนึงถึงสาระหรือผลประโยชน์ในระดับชาติ หากจะอาศัยระบบอุปถัมภ์ชี้นำการลงคะแนนเสียง โดยประชาชนมักเลือกนักการเมืองที่จ่ายเงินให้ตน หรือเลือกนักการเมืองที่นำความเจริญก้าวหน้า (โดยผ่านนโยบายและโครงการของรัฐบาล) มาสู่ท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ ทั้งนี้โดยไม่คำนึงว่าผู้ที่ตนเลือกนั้น อาจเป็นคนที่ทุจริตโกงกิน หรือใช้อำนาจหน้าที่ในระดับชาติโดยมิชอบ หรืออาจเป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถในการทำงานระดับชาติ
ดังนั้น การเมืองแบบประชาธิปไตย ถือว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นมีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่การคัดเลือกบุคคลมาบริหารประเทศ บริหารกิจการสาธารณะของท้องถิ่น การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองด้วยการพูดคุยทางการเมือง การเขียนบทความ จดหมาย แสดงความคิดเห็นทางหนังสือพิมพ์ ทางโทรทัศน์ การจัดตั้ง และการเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือการรวมตัวประท้วงในรูปของกลุ่มผลประโยชน์
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในปัจจุบัน จะพบว่าประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองน้อยมาก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ขาดความรู้ ความเข้าใจ และไม่ตระหนักในคุณค่าของหลักการประชาธิปไตย จึงทำให้ประชาชนให้ความสนใจไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งน้อย ทั้ง ๆที่ การใช้สิทธิเลือกตั้งมีความสำคัญสูงมาก เพราะเป็นการแสดงออกซึ่งการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยของปวงชน เป็นการใช้อำนาจของประชาชนในการกำหนดตัวผู้ปกครอง ซึ่งจะส่งผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนโดยตรง ประชาชนบางส่วนเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายระบบการเมือง นักการเมือง ขาดความศรัทธาต่อพรรคการเมือง
การสร้างและพัฒนาพรรคการเมืองของไทยให้มีความเข้มแข็ง เป็นสถาบันการเมืองมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทย พรรคการเมืองจะต้องมี จริยธรรม โดยการสร้าง จรรยาบรรณทางการเมือง การสร้างความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อระบบพรรคการเมือง การสร้างจริยธรรมละคุณธรรมของผู้นำพรรคการเมือง นักการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความซื่อสัตย์สุจริต และการยึดมั่นผลประโยชน์ของชาติเหนือผลประโยชน์ส่วนบุคคล
การเลือกตั้ง ทั่วไป ภายใต้ระบบการเมืองหลังปฏิรูป
ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดจาการปฏิรูปการเมืองที่ต้องการให้การเมืองใสสะอาด รัฐบาลเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ ประชาชนมีส่วนร่วม ประเทศชาติมีประชาธิปไตย และกำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วย วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร
วุฒิสภา ประกอบด้วย สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้ง จำนวน 200 คน
สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิก จำนวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามระบบบัญชีราชื่อ จำนวน 100 คน และระบบแบ่งเขต จำนวน 400 คน รัฐธรรมนูญนี้มุ่งส่งเสริมพรรคใหญ่ บ่อนทำลายพรรคเล็ก ด้วยการนำระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขต (จังหวัด) เขตเดียว คนเดียว และการเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งในระบบสัดส่วนแต่มีเงื่อนไขว่าพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงไม่ถึงร้อยละห้าของคะแนนเสียงทั้งหมด จะไม่ได้รับการจัดสรรที่นั่ง
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังได้กำหนดให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ แทนที่จะเป็นสิทธิดังที่เคยเป็นมาในอดีต โดยหวังว่าประชาชนจะไปใช้สิทธิกันเป็นปริมาณมาก อันจะทำให้การซื้อเสียงมีผลต่อการชนะเลือกตั้งน้อยลง เพราประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันมาก ถ้าจะซื้อเสียงให้ชนะต้องเป็นเป็นปริมาณมาก ก็อาจจะไม่คุ้มค่าที่จะทำนั้น หวังว่าในที่สุดการซื้อเสียงในการเลือกตั้งจะหมดไปในที่สุด
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครเลือกตั้งเป็น ส.ส. ก็มีการกำหนดเงื่อนไขสูงกว่าเดิม คือจะต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีฯ และต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน
ผลของระบบเลือกตั้งดังกล่าว ผสมกับการเกิดขึ้นของพรรคไทยรักไทย ที่มีเงินทุนมหาศาลดึงดูดนักการเมืองเก่าแก่เข้าพรรค ใช้นโยบายประชานิยม ใช้นโยบายการตลาดนำการเมือง ทำให้เกิดพรรคขนาดใหญ่ในระบบการเมืองไทย นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญยังมุ่งส่งเสริมให้รัฐบาลเข้มแข็ง โดยเฉพาะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี ทำให้รัฐบาลสามารถครอบงำการเมือง และสกัดกั้นการดำรงอยู่และการทำหน้าที่ของพรรคอื่น ๆ รวมทั้งการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
การเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไป ครั้งที่ 20 ในปี 2544
ผลการเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทย ได้ ส.ส. มากที่สุด ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสม ระหว่าง 3 พรรคการเมือง คือ พรรคไทยรักไทย พรรคชาติไทย และพรรคความหวังใหม่ โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
การเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไป ครั้งที่ 21 ปี 2548
ผลการเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทยได้รับการเลือกตั้ง 377 เสียง จึงสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียว โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
ในขณะที่พรรคฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน มีสมาชิกเพียง 123 เสียง จึงมีเสียงไม่เพียงพอต่อการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี
การเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป ครั้งที่ 22 วันที่ 2 เมษายน 2549
สืบเนื่องมากจาการขายหุ้น บริษัท แอมเพิล ริช ในเครือ ชินคอร์ป ให้กับบริษัทเทมาเส็ค ของรัฐบาลสิงคโปร์ เป็นเงิน 73,300 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ทำให้เกิดการกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีทักษิณ ขายหุ้นโดยหลีกเลี่ยงภาษี อันเป็นประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรม และผลประโยชน์ทับซ้อน และนำไปสู่การชุมนุมประท้วงอย่างยืดเยื้อ โดยที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ก็ไม่สามารถชี้แจงทำความกระจ่างให้กับประชาชนให้หายคลางแคลงใจ โดยเฉพาะกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล พลตรีจำลอง ศรีเมือง และผู้นำขบวนการประชาชนคนอื่น ๆ เป็นแกนนำ
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำหนดจะมีการประชุมต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งใหญ่ เนื่องจากเกิดความขัดแย้ง และนายกสามารถตอบคำถามให้ความกระจ่างได้ เพื่อแก้ปัญหาการชุมนุม ประท้วงครั้งใหญ่และปัญหาอื่น ๆ ที่ตามมา นกยกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ จึงตัดสินใจยุบสภา ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 โดยอ้างว่าเป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชน และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
แต่พรรคฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน ในระหว่างช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ฟ้องร้องกล่าวหาพรรคไทยรักไทยว่าจ้างพรรคเล็กให้ส่งบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้ง และ กกต. สอบสวนพบว่ามีกรว่าจ้างให้พรรคเล็กส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งจริง ได้แก่พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไท ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือพรรคใหญ่ จะได้ไม่ต้องเผชิญกับการที่สมาชิกที่สมัครรับเลือกตั้งต้องได้คะแนนเสยง 20 % ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต
การต่อต้านการเลือกตั้งด้วยการชุมนุมคัดค้าน ทั้งจากพรรคฝ่ายค้านและประชาชน โดยเฉพาะกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งความผิดพลาดในการจัดการเลือกตั้งของ กกต. การกำหนดวันเลือกตั้งเร็วเกินไป (เอื้อประโยชน์แก่พรรครัฐบาล) การจัดคูหาเลือกตั้งในลักษณะหมิ่นเหม่ต่อการทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นความลับ การยอมให้ผู้สมัครับเลือกตั้งสมัครซ้อนมกกว่า 1 เขต รวมทั้งการเปิดรับสมัคร ส.ส. เพิ่มเติม หลังการรับเลือกตั้งสิ้นสุดแล้ว รวมถึงความวุ่นวายในการเลือกตั้ง มีการประท้วงของประชาชนด้วยการฉีกบัตรเลือกตั้ง
ศาลปกครอง ได้วินิจฉัยว่า การเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไป ในวันที่ 2 เมษายน 2549 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สรุปปัญหาการเลือกตั้ง
แม้การเลือกตั้งจะเป็นเครื่องมือในการทำให้ระบบการปกครองเป็นประชาธิปไตย ประชาชน ได้รับประโยชน์เต็มที่จากการมีการจัดการปกครอง แต่จากประสบการณ์การเลือกตั้ง ของสังคมไทย ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การออกแบบการเลือกตั้งให้ดี ให้สามารถสนองประโยชน์แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง กว้างขวาง และมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เรื่องง่าย
1. การเลือกตั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ปกครองหรือนักการเมืองในการเข้าสู่อำนาจ มากกว่าการทำหน้าที่เป็นเครื่องมือของประชาชนในการเลือกผู้นำและนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน
2. การทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นการทำงานในลักษณะรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง เป็นการทำงานเชิงรับมากกว่าเชิงรุก รอปัญหาวิ่งเข้าหมาหามากกว่าการป้องกัน ปัญหาการซื้อขายเสียงในการเลือกตั้งแพร่ระบาดมาก แต่ ก็ไม่สามารถจัดใครได้ ซึ่งบ่งชี้ว่าการปฏิรูปการเมืองให้ใสสะอาด ปราศจากการซื้อเสียงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
3. การใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในมุมของประชาชน เป็นภาระมากกว่าเป็นประโยชน์แท้จริงของประชาชน
4. การบังคับให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ ไม่มีผลต่อการแก้ปัญหาการซื้อเสียงอย่างใดนัก และไม่ได้ช่วยให้ได้ ส.ส. ที่มีคุณภาพมากขึ้น สูงขึ้น
5. นโยบายปฏิรูปการเมืองด้วยการส่งเสริมพรรคใหญ่ ลงโทษพรรคเล็ก ไม่ทำให้ระบบการเมืองมีประสิทธิภาพดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม กลับทำให้เกิดการผูกขาดอำนาจ และกลไกการตรวจสอบการใช้อำนาจ รวมไปถึงสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ทำหน้าที่ไม่ได้
6. การกำหนดคุณสมบัติด้านการศึกษาของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ให้สูงขึ้น ไม่ได้ช่วยให้การเมืองใสสะอาดหรือมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างที่ต้องการให้เป็น
ตรงกันข้าม กลับเป็นการกีดกันคนที่มีความสามารถเข้าสู่สภา

เพื่อให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์และเป็นประชาธิปไตย การเลือกตั้ง ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เป็นไปด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ทุกภาคส่วนต้อง
1. ประชาชน
1. การให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพ
2. มีส่วนร่วมในกระบวนการทางนโยบาย
3. มีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
4. ส่งเสริมให้ประชาชนได้ทราบและตระหนักในสิทธิหน้าที่ของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่น การเลือกตั้ง
5. การสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการกระจายอำนาจและทรัพยากรต่าง ๆ ที่ไม่เท่าเทียมกันอันมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
6. ประชาชนมีความรู้ทางการเมือง ไม่ขายสิทธิและขายเสียง

2. นักการเมืองและพรรคการเมืองต้องมี ยึดหลักการบริหารจัดการที่ดี (Good Governance)
หลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี 6 ประการ
1. หลักนิติธรรม ได้แก่ การตรากฎหมาย กฎข้อบังคับต่าง ๆ ให้ทันสมัยและเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคม
2. หลักคุณธรรม ได้แก่ การยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม โดยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยึดถือหลักในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นตัวอย่างแก่สังคมและส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนพัฒนาตนเองไปพร้อม ๆ กัน
3. หลักความรับผิดชอบ ได้แก่ การตระหนักในสิทธิหน้าที่ ความสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคม การแก้ไขปัญหาสาธารณะ และกระตือรือร้นในการแก้ปัญหา
4. หลักการมีส่วนร่วม ได้แก่ การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้และเสนอความเห็นในการตัดสินปัญหาสำคัญของประเทศ
5. หลักความโปร่งใส ได้แก่ การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในชาติ โดยปรับปรุง กลไก การทำงานขององค์การทุกวงการให้มีความโปร่งใส ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้
6. หลักความคุ้มค่า ได้แก่ การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม รณรงค์ให้คนไทยมีความประหยัด ใช้ของอย่างคุ้มค่าและสร้างสรรค์
หลักทศพิธราชธรรม
1. สละทรัพย์สิ่งของช่วยเหลือประชาชน (ผู้อื่น)
2. มีความประพฤติที่ดีงาม
3. เสียสละความสุขสำราญส่วนตน
4. มีความสัตย์ซื่อ ซื่อตรง ไม่หลอกลวงผู้อื่น
5. เป็นผู้มีอัธยาศัยไม่เย่อหยิ่ง ถือตน
6. ไม่หลงใหลในอบายมุขหรือความสุขส่วนตน
7. ไม่ลุแก่อำนาจแห่งความโกรธ จนเป็นเหตุให้ทำการใด ๆ ผิดพลาดต่อศีลธรรม
8. ไม่หลงระเริงในอำนาจ เบียดเบียนผู้อื่น
9. มีความอดทนต่องานที่ทำ ถึงจะลำบากเพียงใดก็ไม่ท้อถอย
10. ยึดมั่นในความยุติธรรม

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ทฤษฎีว่าด้วย อำนาจ ความรุนแรง และสงคราม
(Theory of Power Violence and War)
บทความนี้ต้องการพรรณนาให้เห็นวาทกรรม และข้อโต้เถียงสำคัญในแนวคิด ทฤษฎีว่าด้วย “อำนาจ ความรุนแรง และสงคราม” โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงที่เป็นพื้นฐานความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการเมือง การปกครอง และปัญหาสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้สนใจ และนักศึกษาวิชาปรัชญาการเมืองเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับปัญหาเรื่องอำนาจ ความรุนแรง และสงคราม อันจะช่วยให้สามารถนำความรู้ไปใช้ในการวิเคราะห์ อภิปรายเกี่ยวกับปัญหาการเมืองโลก และปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทย การศึกษาในบทความนี้อาศัยผลงานของนักวิชาการการด้านปรัชญาการเมืองที่สำคัญ 3 ท่าน ได้แก่ ฮานาน์ อาเรนด์ (Hannah Arendt) ในผลงาน “On Violence” (1970) ฟรานซ์ ฟานอง (Frantz Fanon) ใน “Excerpt from ‘Concerning Violence’ in The Wretched of the Earth” (1999) และผลงานของ คาร์ล ฟอน คลอสซ์วิทซ์ (Carl von Clausewitz) ใน “On War” (1984) .
ผลการการศึกษา และการวิเคราะห์อภิปรายประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสังคมการเมืองโลก และสังคมการเมืองไทย สามารถจำแนกให้เห็นทีละประเด็นดังนี้
1. การศึกษานิยามความหมายของคำที่เกี่ยวข้องพบว่า “อำนาจ” (Power) หมายถึง การทำให้ผู้อื่นปฏิบัติให้เป็นไปตามความต้องการของเรา ซึ่งหัวใจสำคัญของอำนาจก็คือความสำเร็จของการบังคับบัญชา “อำนาจ” มิได้หมายถึงอำนาจของมนุษย์คนหนึ่ง ๆ ที่จะกระทำ แต่หมายถึงการมีอำนาจของเขาโดยการยอมรับของคนกลุ่มหนึ่งที่ให้กระทำในนามของพวกเขา ดังนั้นหากปราศจากกลุ่ม “อำนาจ” ก็จะสูญสิ้นไปด้วย “ความรุนแรง” (Violence) เป็นการแสดงออก หรือปฏิบัติการอย่างโจ่งแจ้งของอำนาจ เป็นพื้นฐานของอำนาจ และสงคราม (war) ส่วนคำว่า “สงคราม” (War) เป็นปฏิบัติการของความรุนแรงในการบังคับให้ผู้อื่นปฏิบัติตามความต้องการของเรา คำว่า “อำนาจ” (Power) กับ “อำนาจหน้าที่ (Authority) แตกต่างกัน เพราะ “อำนาจหน้าที่” หมายถึงอำนาจในเชิงสถาบันที่ใช้อยู่ในสถาบัน หรือหน่วยงาน เป็นสัญลักษณ์ (symbolic) ที่ได้รับการยอมรับโดยไม่ตั้งคำถามจากบุคคลผู้ซึ่งถูกสั่งให้เชื่อฟังโดยมิต้องใช้กำลังบังคับ
2. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง “อำนาจ” (Power) กับ “ความรุนแรง” (Violence) แม้จะแตกต่างกัน แต่ทั้งสองสิ่งมักจะปรากฏตัวควบคู่กันเสมอ และเมื่ออำนาจ กับ ความรุนแรงสามารถรวมตัวกันได้ “อำนาจ” (Power) จะเป็นตัวหลัก และมีบทบาทเหนือกว่า โดยธรรมชาติแล้ว “ความรุนแรง” (Violence) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ “อำนาจ” (Power) แต่การใช้ความรุนแรง(violence) มิใช่จะประสบความสำเร็จทุกครั้งเสมอไปแม้แต่ผู้ปกครองเผด็จการ (Totalitarian ruler) หรือการใช้กำลังอำนาจ ความรุนแรงในแง่ของการทำสงครามของประเทศมหาอำนาจที่กระทำต่อประเทศที่อ่อนแอกว่า ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง “ความรุนแรง” (Violence) กับ “สงคราม” (War) ความรุนแรงถือเป็นเครื่องมือของสงคราม ทั้งสองสิ่งนี้มีความเหมือนกันอยู่ที่การใช้กำลัง (force) ซึ่งอาจจะกระทำโดยอาศัยความถูกต้องชอบธรรม หรือไม่ก็ตาม นอกจากนั้นปฏิบัติการของ “ความรุนแรง” (Violence) ยังมีระดับ (degree) ตั้งแต่ระดับรุนแรงน้อยไปถึงรุนแรงมาก จนกระทั่งกลายเป็น “สงคราม” (War) ในที่สุด
3. การศึกษาพัฒนาการของความรุนแรง และสงคราม พบว่า ความทันสมัย และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมักจะนำไปสู่การสร้างอาวุธที่ทันสมัย และการทำสงครามระหว่างกัน แต่อย่างไรก็ตามประเทศใหญ่หรือมหาอำนาจซึ่งมีกำลังอาวุธมากกว่าและทันสมัยกว่ากลับมิได้เป็นหลักประกันว่าจะสามารถชนะสงครามต่อประเทศที่อ่อนแอกว่า หรือประเทศเล็กกว่าได้โดยง่าย เพราะการกระทำดังกล่าวมักจะนำไปสู่การต่อต้าน การไม่ยินยอม และการถูกประณามโดยนานาอารยะประเทศ และประชาคมโลก
4. การศึกษาประเด็นปัญหาในสังคมการเมือง และการปกครองไทย พบว่า นับตั้งแต่ไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ “อำนาจ” “ความรุนแรง” และ “สงคราม” อยู่ตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการใช้กำลังกองทัพ(ทหาร) เข้ายึดอำนาจการปกครองที่เรียกว่า “รัฐประหาร” ทั้งที่สำเร็จ และไม่สำเร็จมากกว่า 20 ครั้ง ปัญหาการใช้อำนาจโดยมิชอบ(การทุจริตประพฤติมิชอบ) ของนักการเมือง และข้าราชการประจำทั้งในระดับชาติ และท้องถิ่น การใช้อำนาจอิทธิพลทำร้าย และเข่นฆ่าคู่แข่งขันทางการเมือง ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด ปัญหาวัยรุ่นก่อความรุนแรง และอาชญากรรม รวมทั้งปัญหาความรุนแรง และสงครามใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
กล่าวโดยสรุป ปัญหาในสังคมการเมืองระหว่างประเทศ(โลก) และในสังคมการเมืองไทยสามารถนำแนวคิดพื้นฐานว่าด้วย “อำนาจ” (Power) “ความรุนแรง” (Violence) และ “สงคราม” (War) มาช่วยในการวิเคราะห์อภิปราย และขยายความเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
“สงครามยังคงเป็นความต่อเนื่องของยุทธวิธีทางการเมืองแบบเก่าที่สุดโต่งโดยอาศัยความรุนแรง” (That war is still the ultima ratio, the old continuation of politics by means of violence) (Hannah Arendt, 1970 : 6)

คำกล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “สงคราม” (war) กับ “ความรุนแรง” (violence) ซึ่งการศึกษาปรัชญาการเมืองประเด็นดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญและน่าสนใจอย่างยิ่งโดยสอดรับกับยุคสมัยการเมืองระหว่างประเทศ และของโลกที่ร้อนแรง นับตั้งแต่กรณีเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ค.ศ.2001 (หรือ 9 / 11 ที่เราทราบกันดี) รวมถึงกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และการเมืองไทยอีกด้วย การทำความเข้าใจประเด็นสงครามและความรุนแรงให้ใกล้ตัว และชัดเจนยิ่งขึ้นควรนำไปเปรียบเทียบกับเรื่อง “การเมือง” (plitics) และ “อำนาจ” (power) โดย ซี. ไรท์ มิลล์ C. Wright Mills กล่าวเอาไว้ว่า
“การเมืองคือการต่อสู้เพื่ออำนาจ และอำนาจสูงสุดคือ ความรุนแรง” (All politics is a struggle for power, the ultimate kind of powers is violence) (Hannah Arendt, 1970 : 35) ส่วนแม็ก เวเบอร์ (Max Weber) ให้นิยาม “รัฐ” เอาไว้ว่า “คือการปกครองมนุษย์โดยมนุษย์บนพื้นฐานของวิธีการที่ชอบธรรม นั่นคือความรุนแรงที่ชอบธรรม” (Hannah Arendt, 1970 : 35) จะเห็นได้ว่าทั้ง มิลล์ และเวเบอร์ (Mills and Weber) ได้กล่าวถึงการใช้ความรุนแรงกับ “อำนาจ” (power) ทั้งในแง่ของอำนาจในทางการเมือง และอำนาจในการปกครองของรัฐ ดังนั้นความรุนแรง (violence) จึงมีขอบเขตครอบคลุมอย่างกว้างขวาง และสลับซับซ้อนมากกว่าความเข้าใจแบบธรรมดา
บทความนี้ต้องการพรรณนาให้เห็นวาทะกรรมข้อโต้เถียงว่าด้วย “อำนาจ ความรุนแรง และสงคราม” โดยเฉพาะความรุนแรงที่เป็นพื้นฐานของทั้งการเมือง อำนาจ และสงคราม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้สนใจ และนักศึกษาวิชาปรัชญาการเมืองมีความเข้าใจปัญหาข้อโต้เถียงเกี่ยวกับความรุนแรง และสงคราม และสามารถนำประเด็นเชิงวิชาการปรัชญาการเมืองไปสู่การวิเคราะห์อภิปราย และสร้างความเข้าใจในวิถีความเป็นไป ความเคลื่อนไหวของการเมืองระหว่างประเทศการเมืองโลก และการสร้างความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงในสังคมการเมืองไทย เพื่อความสะดวกจะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก เป็นการนำเสนอปัญหาข้อถกเถียงว่าด้วยความรุนแรง และสงครามตามผลงานของ ฮาน์น่า อาร์เร็นดท์ (Hannah Arendt) ใน “On Violence” (1970) ฟรานซ์ ฟานอน (Frantz Fanon) ใน “Excerpt from ‘Concerning Violence’ The Wretched of the Earth” (1999) และ คาร์ล ฟอน คลอสซ์วิทซ์ (Carl Von Clausewitz) ใน “On War” (1984) และผลงานของนักวิชาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงและสงคราม เป็นต้น ส่วนที่สอง การวิเคราะห์อภิปรายและการตีความประเด็นสำคัญในเชิงวิชาการ กับเหตุการณ์ร่วมสมัย และส่วนที่สาม เป็นการวิจารณ์ อภิปรายความรุนแรง และสงครามในสังคมการเมืองไทยร่วมสมัย

ส่วนแรก : ปัญหาและข้อถกเถียงสำคัญเกี่ยวกับความรุนแรงและสงคราม
แม้ปัจจุบันโลกจะย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 (ค.ศ.2007) แต่เลนิน (Lenin) เคยคาดการณ์เอาไว้ว่าศตวรรษที่ 20 เป็นศตวรรษแห่งสงคราม และการปฏิวัติ (a century of wars and revolution) ด้วยเหตุนี้จึงเป็นศตวรรษของความรุนแรง (violence) พัฒนาการของความรุนแรงได้มาถึงจุดที่ไม่มีเป้าหมายทางการเมืองใดที่จะสามารถรับมือกับอำนาจการทำลายล้างในยุคนี้ หรือจะสามารถอ้างเหตุผลในปฏิบัติการที่ต้องใช้กำลังอาวุธได้ ด้วยเหตุนี้ “การทำสงคราม” (warfare) ที่ในอดีตถือว่าเป็นเครื่องมือที่ไร้ความปราณีขั้นสุดท้ายในปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ปัจจุบันได้สูญเสียประสิทธิผล และเสน่ห์ไปเกือบหมดสิ้น กลายเป็นเกมหมากรุกระหว่างมหาอำนาจ ระหว่างผู้ซึ่งต้องการไปถึงจุดสูงสุดของอารยะธรรม (the highest plane of our civilization) โดยที่เกมจะดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ที่ว่า “หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะก็ถือว่าเป็นการสิ้นสุดของทั้งสองฝ่าย” (Hannah Arendt, 1970 : 3) เป็นเกมที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่าเกมสงคราม (war games) ทั้งนี้เพราะเป้าหมายก็คือ การสร้างอุปสรรคกีดขวาง (deterrence) ไม่ใช่ชัยชนะ หรือการแข่งขันด้านอาวุธ หากสร้างอุปสรรคกีดขวางมากขึ้นเพียงใดสันติภาพก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
คำว่า “ความรุนแรง” (violence) แตกต่างไปจาก “อำนาจ” (power) “กำลัง” (force) และ “ความแข็งแกร่ง” (strength) อยู่ที่ต้องอาศัยการนำไปปฏิบัติ (implements) ซึ่งการปฏิวัติทางเทคโนโลยีและการสร้างเครื่องมืออาวุธมักจะนำไปสู่การทำสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รูปแบบเนื้อหาของความรุนแรงมักจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย-วิธีการ (means-end category) ซึ่งลักษณะสำคัญหากประยุกต์เข้ากับกิจกรรมของมนุษย์แล้วมักจะเป็นกรณีที่เป้าหมายตกอยู่ในท่ามกลางวิธีการที่หลากหลาย และเนื่องจากเป้าหมายในกิจกรรมของมนุษย์ไม่สามารถคาดคะเนได้อย่างถูกต้องแน่นอน ซึ่งแตกต่างไปจากผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายในการประดิษฐ์ของมนุษย์ ดังนั้นวิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองจึงมักจะมีมากกว่าโลกแห่งความเป็นจริง และมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งใจอยู่เสมอ ซึ่งในขณะที่ผลลัพธ์ของการกระทำอยู่เหนือการควบคุมของผู้กระทำ ด้วยเหตุนี้ความรุนแรง (violence) จึงเกิดขึ้นตามมา นอกจากนั้นความรุนแรงยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดหมายได้ที่เรียกว่า “เหตุการณ์บังเอิญ” (random event) ในลักษณะข้อสงสัยเชิงวิทยาศาสตร์ ด้วยข้อสงสัยไม่สามารถถูกขจัดออกไปได้เหมือนเหตุการณ์จำลอง (simulation) ฉากภาพยนตร์ (scenario) หรือทฤษฎีเกม(game theories) ซึ่งความไม่แน่นอนเหล่านี้แม้แต่ความแน่นอนในความเสียหายภายใต้สถานการณ์ที่คำนวณได้
ไม่มีบุคคลใดในทางประวัติศาสตร์การเมืองจะสามารถมองข้ามบทบาทความสำคัญของความรุนแรง (violence)ที่ให้บทเรียนแก่มนุษย์ แต่เมื่อมองเพียงผ่าน ๆ กลับเป็นเรื่องน่าตกใจว่า “ความรุนแรง” (violence) เป็นเรื่องที่มักจะไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร ดังนั้นบุคคลผู้ซึ่งมองข้ามปัญหาความรุนแรงมักจะพิจารณาแต่เพียงว่ามันเป็นไปตามยถากรรม ไม่ถูกต้อง และไม่มีอะไรพูดอีกไม่ว่าความรุนแรง หรือประวัติศาสตร์ การที่คลอสซ์วิทซ์ (Clausewitz) เรียกสงครามว่า “ความต่อเนื่องทางการเมืองในรูปแบบหนึ่ง” หรือ เองเจลส์ (Engels) นิยาม “ความรุนแรง” ว่าเป็นตัวเร่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ต้องการเน้นก็คือความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจ และการเมืองตั้งอยู่บนความต่อเนื่องของกระบวนการที่ยังคงถูกกำหนดโดยความรุนแรงที่ดำเนินอยู่ (Hannah Arendt, 1970 : 8)
จะเห็นได้ว่าความรุนแรง (violence) เกี่ยวข้องกับการใช้กำลัง (force) และสงคราม (war) อยู่เสมอ คาร์ล ฟอน คลอสวิทซ์ (Carl von Clausewitz) ให้นิยาม “สงคราม” (war) ว่าคือการใช้กำลังเพื่อบังคับให้ศัตรูทำตามสิ่งที่เราต้องการ (Carl von Clausewitz, 1984 : 83) และกำลัง (force) ถือว่าเป็นเครื่องมือของสงคราม (the mean of war) ส่วนการบังคับให้ศัตรูทำตามความปรารถนาของเราคือวัตถุที่ต้องการ (object) ซึ่งในทางทฤษฎีถือว่าเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของสงคราม ส่วนการใช้กำลังปกป้องวัตถุที่ต้องการ (object) จะต้องทำให้ศัตรูไร้พลังอำนาจ (powerless) ซึ่งจุดมุ่งหมายนี้กลับเข้าไปแทนที่วัตถุที่ต้องการ ซึ่งมิใช่สงครามที่แท้จริง (Clausewitz, 1984 : 83)
คำถามต่อมาก็คือสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างชนชาติที่มีอารยะธรรม (civilized nations) มีความโหดร้ายและทำลายล้างน้อยกว่าสงครามระหว่างพวกคนดิบ (savages) หรือไม่ ? สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาก็คือสภาวะเงื่อนไขทางสังคมของรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสงคราม และเป็นตัวเพิ่มหรือลดความรุนแรงได้ สำหรับสิ่งจูงใจที่ทำให้มนุษย์ทำสงครามกันมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ (1) ความรู้สึกเป็นศัตรูกัน และ (2) ความตั้งใจที่จะเป็นศัตรูกัน ซึ่งนิยามประการหลังนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการศึกษาวิจัย และมีความเป็น “สากล” (universal) มากกว่า ทั้งนี้ความเจริญก้าวหน้า และความมีอารยะธรรมของมนุษย์มิได้ทำให้มนุษย์ลดความรุนแรงลง และหยุดการทำสงคราม แต่กลับมีวิวัฒนาการก้าวหน้าตามลำดับ สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ การประดิษฐ์ดินปืน และการพัฒนาอาวุธในการทำลายล้างกันมากขึ้น กล่าวได้ว่า “สงคราม” (war) คือการใช้กำลังที่ไม่มีขีดจำกัดของเหตุผล โดยที่แต่ละฝ่ายจะบังคับศัตรูให้กระทำตามความต้องการ และมีปฏิกิริยาโต้ตอบซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความสุดขั้วในเชิงทฤษฎี
ในปัจจุบันความเชื่อถือเก่าๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสงคราม กับการเมือง หรือระหว่างความรุนแรง กับอำนาจ เป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลลัพธ์มิใช่สันติภาพ แต่กลายเป็นสงครามเย็น (the Cold War) และก่อให้เกิดความสลับซับซ้อนในอุตสาหกรรมด้านการทหาร เหมือนที่นักฟิสิกส์ชาวรัสเซียชื่อ ซาคารอฟ (Sakharov) เคยกล่าวเอาไว้ว่าสงครามเทอร์โมนิวเคลียร์ (thermonuclear war) มิใช่ความต่อเนื่องทางการเมืองในอีกความหมายหนึ่ง (ตามทัศนะของ Clausewitz) แต่เป็นวิธีการทำอัตตนิบาตกรรมของโลก (the universal suicide) (Clausewitz, 1984 : 9-10)
นอกจากนั้นความจริงที่ว่าอาวุธเพียงเล็กน้อยสามารถทำลายพลังอำนาจของชาติทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นอาวุธชีวะภาพที่ถูกติดตั้งขึ้นจะทำให้กลุ่มคนเล็ก ๆ สามารถสร้างปัญหาให้กับดุลยภาพทางยุทธศาสตร์ได้ อาวุธมหาประลัยเหล่านี้มีราคาถูกพอที่จะผลิตได้โดยประเทศที่ไม่สามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งภายในไม่กี่ปีอาวุธที่เปรียบเสมือน “ทหารหุ่นยนต์” (robot soldiers) ก็จะทำให้ทหารมนุษย์ที่แท้จริงล้าสมัยไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นขนาดความรุนแรงที่ประเทศหนึ่งๆ สามารถกระทำอาจจะไม่ใช่ตัวชี้วัดความเข้มแข็งของประเทศ หรือเป็นหลักประกันที่จะใช้ตอบโต้การทำลายล้างโดยอำนาจที่อ่อนแอกว่าแต่อย่างใด
สำหรับปัญหาความรุนแรงภายในประเทศ มักจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการปฏิวัติซึ่ง คาร์ล มาร์ก (Karl Marx) มองว่ารัฐเป็นเครื่องมือในการใช้ความรุนแรงของชนชั้นปกครอง (the ruling class) แต่อำนาจของชนชั้นปกครองมิได้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงแต่ขึ้นอยู่กับบทบาทของกระบวนการผลิต (the process of production) เมา เซ ตุง (Mao Tse-tung) กล่าวเอาไว้ว่า “อำนาจเกิดขึ้นจากปากกระบอกปืน” (Power grows out of the barrel of gun) (Clausewitz, 1984 : 11) และจอร์จ ซอเร็ล (George Sorel) มองการต่อสู้ทางชนชั้นว่าเป็นมายาคติของการประท้วงทั่วไป (general strike) อันเป็นรูปแบบของกิจกรรมที่ปัจจุบันเราคิดว่าเป็นการเมืองที่ไม่รุนแรง (nonviolence politics) นอกจากนั้นกิจกรรมการเคลื่อนไหว และการก่อจลาจลของนักศึกษา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก มีความผันแปรหลากหลายอย่างมากระหว่างประเทศ และระหว่างมหาวิทยาลัย สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของปฏิบัติการด้านความรุนแรงเริ่มตั้งแต่ในเยอรมัน และสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของขบวนการคนผิวดำ (the Black Power Movement) ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นกลุ่มผลประโยชน์ตัวแทนของชุมชนผิวดำ (the Negro community) ซึ่งในทางสังคมจิตวิทยา มีความพยายามมองว่าความรุนแรง (violence) เป็นวิธีการเยียวยาการถูกลงโทษรูปแบบหนึ่ง ซึ่งหากเป็นความจริงเช่นนั้น “การแก้แค้น” (revenge) ก็จะกลายเป็นยารักษาโรคทุกชนิด ซึ่งมายาคตินี้ไปไกลกว่าความเป็นจริง ทำให้นึกถึงสำนวนของฟรานซ์ ฟานอง (Frantz Fanon) ที่ว่า “อดอยากอย่างมีศักดิ์ศรีดีกว่ากินขนมปังในขณะเป็นทาส” (hunger with dignity is preferable to bread eaten in slavery) (Clausewitz, 1984 : 20) ท้ายที่สุดแล้วขบวนการเคลื่อนไหวยุคใหม่ก็ใช้คำขวัญทางการเมืองในเชิงบวกโดยอาศัยข้ออ้างในเรื่อง “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” (participatory democracy) ซึ่งแพร่หลายไปทั่วโลกทั้งตะวันตกและตะวันออก นำไปสู่การเติบโตของการปฏิวัตินับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตามความคิดเรื่องขบวนการเคลื่อนไหว และความรุนแรงในศตวรรษนี้ (20-21) ถูกนำไปศึกษาเปรียบเทียบกับลัทธิอุดมการณ์ในแนวคิดเรื่อง “ความก้าวหน้า” (Progress) ซึ่งข้ออ้างเกี่ยวกับความก้าวหน้าของมนุษยชาติทั้งหมดยังไม่เป็นที่รับรู้เข้าใจในช่วงก่อนศตวรรษที่ 17 พัฒนามาสู่ความคิดร่วมกันในระหว่างศตวรรษที่ 18 และกลายเป็นความเชื่อที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากลในศตวรรษที่ 19 ซึ่งความก้าวหน้าอาจจะอธิบายได้ในรูปของ “กฎของการเคลื่อนไหวที่ไม่มีที่สิ้นสุด” (the laws of movement alone are eternal) โดยที่การเคลื่อนไหวไม่มีจุดเริ่มต้น หรือจุดสิ้นสุด เหมือนกับที่ทุกคนพูดว่า “เราเกิดมาอย่างสมบูรณ์ แต่เรายังไม่เคยสมบูรณ์” (we are born perfectable, but we shall never be perfect)(Clausewitz, 1984 : 26) คำว่า “ความก้าวหน้า” (Progress) เป็นคำที่มีความหมายสลับซับซ้อน และสำคัญมากยิ่งขึ้นที่ถูกนำเสนอในลักษณะของความนิยมชมชอบในยุคสมัยของเรา ความเชื่อในศตวรรษที่ 19 ที่ไร้เหตุผลเกี่ยวกับความก้าวหน้าที่ไม่มีขีดจำกัด (unlimited progress) ก่อให้เกิดการยอมรับอย่างเป็นสากลอันเนื่องมาจากการพัฒนาอย่างน่าตกใจของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (the natural science) ตั้งแต่การเกิดขึ้นของยุคใหม่ (the modern age) นำไปสู่งานภารกิจการค้นคว้าที่กว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สำหรับการเปรียบเทียบ “ความรุนแรง” (Violence) กับ “อำนาจ” (Power) เริ่มต้นจากคำถามที่ว่า “หากปราศจากความรุนแรงในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐแล้ว จะทำให้อำนาจสิ้นสุดลงหรือไม่” คำตอบย่อมขึ้นอยู่กับความเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจ (Power) และอำนาจคือเครื่องมือของการปกครอง (an instrument of rule) ในขณะที่การปกครอง (rule) ขึ้นอยู่กับการดำรงอยู่ของสัญชาติญาณการกดขี่ครอบงำ (the instinct of domination) (Clausewitz, 1984 : 36) อำนาจในทัศนะของวอลแตร์ (Voltaire) ประกอบไปด้วย “การทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามความต้องการของเรา” ส่วนแม็ก เวเบอร์ (Max Weber) เห็นว่าเป็น “การยืนยันถึงความปรารถนาของเราพร้อม ๆกับการต่อต้านของผู้อื่น” ทำให้นึกถึงคำนิยาม “สงคราม” ของคลอสวิทซ์ (Clausewitz) ที่ว่าสงครามคือ “ปฏิบัติการของความรุนแรงในการบังคับให้ผู้อื่นทำตามความต้องการของเรา” (Clausewitz, 1984 : 36) ส่วน สเตราซ์ ฮูป (Strausz-Hupe) ให้ความหมายว่า “อำนาจของมนุษย์ที่มีเหนือมนุษย์” (the power of man over man) และ เบอร์ตรอง เดอ จัววองนอง (Bertrand de Jouvenel) ในหนังสือ “Power” กล่าวว่า “หากปราศจากการบังคับบัญชา และการเชื่อฟังก็ไม่มีอำนาจ” (To command and to be obeyed : without that, there is not Power) (Clausewitz, 1984 : 36-37) กล่าวโดยสรุป หัวใจสำคัญของอำนาจก็คือผลสำเร็จของการบังคับบัญชา ดังนั้นจึงไม่มีอำนาจใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าอำนาจากปากกระบอกปืน (the barrel of a gun) ปัญหาต่อมาก็คือ “คำสั่งที่มาจากตำรวจแตกต่างไปจากคำสั่งที่มาจากปืนอย่างไร” ด้วยเหตุนี้เราต้องหันไปพิจารณาว่า “อำนาจ” (Power) แตกต่างไปจาก “กำลัง” (force) หรือไม่อย่างไร เพื่อให้เข้าใจถึงความจริงในการใช้กำลังตามกฎหมาย ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงคุณภาพของกำลัง (force)ในตัวของมันเอง และทำให้เราได้ทราบถึงความแตกต่างในความสัมพันธ์ของมนุษย์
“อำนาจ” (power) ในทัศนะของพาสเซอแรง เดอ อองแตรวอง (Passerin d’ Entreves) หมายถึง กำลัง (force) ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม หรือมีความเป็นสถาบัน (qualified or institutionalized force) ในขณะที่คลอสวิทซ์ (Clausewitz) ให้ความหมายของ “ความรุนแรง” (violence) ว่าเป็นการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งของอำนาจ แต่ในแนวคิดทางการเมืองคำนิยามเหล่านี้มีข้อโต้แย้งอย่างมาก ไม่เพียงแต่มันเป็นเหตุผลข้ออ้างที่มาจากอำนาจเด็ดขาด (absolutely power) ซึ่งเกิดพร้อม ๆ กับการเกิดขึ้นของรัฐชาติที่มีอธิปไตยในยุโรปครั้งแรกในศตวรรษที่ 16 โดยชอง โบแดง (Jean Bodin) ของฝรั่งเศส และโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ของงอังกฤษในศตวรรษที่ 17 โดยเห็นตรงกันในคำศัพท์ภาษากรีก (Greek) ซึ่งนิยามรูปแบบของการปกครอง (รัฐบาล) ว่าเป็นการปกครองของมนุษย์ที่อยู่เหนือมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นคนเดียว หรือกลุ่มคนในรูปแบบประชาธิปไตย และคณาธิปไตย หรือจำนวนมากในรูปแบบอภิชนาธิปไตย และประชาธิปไตย (Clausewitz, 1984 : 38) ส่วนในทัศนะของจอห์น สจ็วต มิลล์ (J.S.Mill) เห็นว่าแนวคิดเกี่ยวกับการบังคับบัญชา (command) และการเชื่อฟัง (obedience) เกิดมาจากความโน้มเอียง 2 ประการได้แก่ (Clausewitz, 1984 : 39) (1) ความปรารถนาที่จะแสดงออกในอำนาจเหนือผู้อื่น และ (2) การไม่อยากให้ผู้อื่นมาแสดงอำนาจเหนือตนเอง ซึ่งหากเราเชื่อตามที่กล่าวมาข้างต้น เราควรจะรู้ว่าสัญชาติญาณของการยอมรับ หรือความปรารถนาที่จะเชื่อฟัง และถูกปกครองโดยคนที่แข็งแรงเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์ เท่า ๆ กับความปรารถนาที่จะมีอำนาจโดยเฉพาะในทางการเมือง ต่อมาในยุคของการปกครองแบบนครรัฐ (state) และสาธารณรัฐ (a republic) ก่อให้เกิดการปกครองภายใต้กฎหมาย (the rule of law) ซึ่งขึ้นอยู่กับอำนาจของประชาชน ทำให้กฎเกณฑ์การปกครองของมนุษย์เหนือมนุษย์ (the rule of man over man) สิ้นสุดลงเพราะกฎเกณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นการปกครองที่เหมาะสมกับทาส (government fit for slaves) สำหรับรูปแบบที่สุดขั้วของอำนาจคือ “ทั้งหมดกระทำต่อหนึ่ง” (All against One) ส่วนความสุดขั้วของความรุนแรงคือ “หนึ่งกระทำต่อทั้งหมด” (One against All) ซึ่งในกรณีหลังจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ใช้อาวุธ ยกตัวอย่างกรณีคนกลุ่มน้อยที่ไม่มีอาวุธกลุ่มเล็ก ๆ ประสบความสำเร็จในการประท้วงด้วยวิธีการใช้ความรุนแรง ได้แก่ การตะโกน การทะเลาะวิวาท ฯลฯ
น่าเสียดายที่สถานการณ์ปัจจุบันในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ การกำหนดความหมายของคำ (Terminology) มิได้ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างคำศัพท์สำคัญ เช่น “อำนาจ” (power) “ความแข็งแกร่ง” (strength) “กำลัง” (force) “อำนาจหน้าที่” (authority) และ “ความรุนแรง” (violence) การใช้คำเหล่านี้ให้มีความหมายเหมือนกัน (synonyms) ไม่เพียงแต่จะชี้ให้เห็นถึงความมืดบอดในความจริง (the realities) ที่พวกเขามองข้ามไปแล้ว ความแตกต่างของคำเหล่านี้ยังชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจของบุคคลในแง่ที่ว่า “ใครปกครองใคร” และสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการ (mean) ที่มนุษย์ใช้ปกครองมนุษย์ (Clausewitz, 1984 : 43) ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจความหมาย และลักษณะสำคัญของคำเหล่านี้ในเชิงเปรียบเทียบดังต่อไปนี้ (Clausewitz, 1984 : 44)
(1) คำว่า “อำนาจ” (Power) ไม่ได้หมายถึงอำนาจของมนุษย์ที่จะกระทำ แต่เป็นการกระทำในรูปแบบองค์คณะ (in the concert) อำนาจมิได้เป็นคุณสมบัติส่วนบุคคล แต่เป็นของกลุ่ม และยังคงดำรงอยู่ตราบเท่าที่กลุ่มยังคงรวมตัวกันอยู่ได้ เมื่อเรากล่าวว่าบางคน “มีอำนาจ” (in power) เราหมายถึง การมีอำนาจของเขาโดยการยอมรับของคนกลุ่มหนึ่งให้กระทำ (ปฏิบัติ) ในนามของพวกเขา ดังนั้นหากปราศจากกลุ่ม “อำนาจ” (power) ก็จะสูญสิ้นไปด้วย และเมื่อเราพูดว่า “ผู้ทรงอำนาจ” (powerful man) เราหมายถึงการใช้คำว่า“อำนาจ”ในเชิงอุปมาอุปมัยเท่านั้น
(2) คำว่า “ความแข็งแกร่ง” (strength) มีลักษณะเป็นเอกพจน์ (singular) และสิทธิอำนาจเชิงปัจเจกบุคคล เป็นคุณสมบัติที่ติดตัวอยู่ในวัตถุหรือบุคคล ซึ่งจะสามารถพิสูจน์ตัวมันเองได้ในความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น หรือบุคคลอื่น แต่ในลักษณะที่เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้
(3) คำว่า “กำลังหรือพลัง” (Force) มักจะถูกใช้ในความหมายเดียวกับ “ความรุนแรง” (violence) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากความรุนแรงถูกใช้ในความหมายของ “การใช้กำลังบังคับ” (coercion) ในความหมายของคำศัพท์ ในแง่ของ “พลังของธรรมชาติ” หรือ “พลังของสภาพแวดล้อม” หมายถึง พลังงานที่ถูกปล่อยออกมาโดยแรงขับเคลื่อนทางกายภาพ หรือสังคม
(4) คำว่า “อำนาจหน้าที่” (Authority) เป็นคำที่มักจะถูกใช้ในเชิงลบ (abused) บ่อยครั้งที่สุด และยึดติดอยู่กับตัวบุคคล ตัวอย่างเช่น อำนาจหน้าที่ส่วนบุคคล (a personal authority) ในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ระหว่างครูกับนักเรียน เป็นต้น และที่สำคัญอำนาจหน้าที่มักดำรงในสำนักงาน หรือหน่วยงาน (office) มันเป็นตราเครื่องหมายที่ได้รับการยอมรับโดยไม่ตั้งคำถามจากบุคคลที่ถูกสั่งให้เชื่อฟัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับ (coercion) หรือการชักจูง (persuasion) แต่อย่างใด ซึ่งในการดำรงรักษาอำนาจหน้าที่ (authority) ไว้จำเป็นต้องอาศัยการเคารพเชื่อฟังจากบุคคล และหน่วยงาน ส่วนศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของอำนาจก็คือ การดูถูกเหยียดหยาม (contempt) และผู้หัวเราะเยาะ (laughter)
(5) คำว่า “ความรุนแรง” (violence) มีความแตกต่างออกไปในคุณลักษณะที่ต้องอาศัยเครื่องมือ ในทางปฏิบัติแล้วมีความใกล้ชิดกับความแข็งแกร่ง (strength) เพราะอาศัยปฏิบัติการของความรุนแรงเช่นเดียวกับเครื่องมืออื่น ๆ ที่ถูกออกแบบ และใช้เพื่อจุดมุ่งหมายในการเพิ่มพูนความเข้มแข็ง ซึ่งในขั้นสุดท้ายของพัฒนาการ “ความรุนแรง” ก็จะสามารถไปแทนที่ได้ “ความรุนแรง” (violence) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอำนาจ (power) ความจริงอำนาจไม่มีอะไรเลยนอกจากด้านหน้านวมกำมะหยี่ที่แสดงให้เห็นถึงมือเหล็ก หรืออาจจะกลายเป็นเสือกระดาษ (the iron hand or a paper tiger) ในการทดสอบระหว่างความรุนแรงกับความรุนแรงนั้น (violence against violence) ถือว่าความเหนือกว่าของรัฐบาล (the superiority of government) มีความเด็ดขาดสมบูรณ์ แต่ความเหนือกว่าของรัฐบาลดังกล่าวจะยังคงดำรงอยู่ตราบเท่าที่โครงสร้างอำนาจของรัฐบาลยังคงทำงาน ตราบเท่าที่คำสั่งบังคับบัญชายังได้รับการเชื่อฟังยินยอม หรือกำลังทหาร และตำรวจยังคงเตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธ หากเมื่อสิ่งเหล่านี้สิ้นสุดลง สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปทันที
ไม่มีรัฐบาลใดที่ใช้ความรุนแรงแต่เพียงอย่างเดียวจะดำรงอยู่ได้ แม้แต่ผู้ปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (the totalitarian ruler) ที่ใช้วิธีการทรมาน(torture) เป็นเครื่องมือในการปกครองก็จำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานของอำนาจ เช่น ตำรวจลับ หรือเครือข่ายสายลับ เป็นต้น การพัฒนาทหารหุ่นยนต์เท่านั้นที่จะเป็นตัวกำจัดปัจจัยด้านตัวมนุษย์ออกไปอย่างสมบูรณ์ และจะทำให้มนุษย์คนหนึ่งสามารถมีเครื่องมือกดปุ่มที่จะใช้ทำลายใครก็ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอำนาจที่เพิ่มขึ้นเหนือความรุนแรง เพราะลำพังมนุษย์เพียงคนเดียวโดยไม่มีผู้อื่นช่วยเหลือจะไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะใช้ความรุนแรงได้อย่างประสบความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีสงครามเวียตนาม (Vietnam War) แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี และความเหนือกว่าในวิธีการของความรุนแรงกลับกลับเป็นสิ่งไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญกับศัตรูที่แม้ขาดแคลนอาวุธแต่มีการจัดองค์กรเป็นอย่างดี และมีอำนาจมากกว่า โดยสรุป อำนาจ (power) คือหัวใจสำคัญของทุกรัฐบาล แต่ความรุนแรง (violence) ไม่ใช่อำนาจ แต่เป็นเพียงเครื่องมือโดยธรรมชาติ เหมือนเครื่องมืออื่น ๆ
อำนาจ (power) และความรุนแรง (violence) แม้ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่แตกต่างกัน แต่มักจะปรากฏให้เห็นควบคู่กันอยู่เสมอ และเมื่อมันรวมตัวกันเมื่อใด อำนาจ (power) จะเป็นตัวหลัก และเป็นปัจจัยที่มีบทบาทเหนือกว่า อย่างไรก็ตาม สถานการณ์จะแตกต่างออกไปทันทีเมื่อเราพิจารณาถึงรัฐบริสุทธิ์ที่ถูกครองงำ และรุกรานโดยรัฐต่างชาติ เราจะเห็นว่าสมการของความรุนแรงกับอำนาจขึ้นอยู่กับความเข้าใจของรัฐบาลในฐานะผู้มีอำนาจเหนือกว่าของมนุษย์ต่อมนุษย์โดยวิธีการใช้ความรุนแรง ซึ่งถ้าหากต่างชาติผู้รุกรานเผชิญหน้ากับรัฐบาลที่ไม่มีกำลังแล้ว อำนาจก็จะง่ายในการครอบงำ แต่ในกรณีอื่นๆ ปัญหาอุปสรรคก็จะเกิดขึ้นอย่างมาก โดยต่างชาติผู้รุกรานจะพยายามจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด (Quisling government) โดยแสวงหาฐานอำนาจของท้องถิ่นพื้นเมืองมาสนับสนุนการปกครองของตน ตัวอย่างที่ชัดเจนกว่าก็คือ การปะทะกันตัวต่อตัวระหว่างรถถังรัสเซียกับกลุ่มต่อต้านที่ไม่มีอาวุธชาวเช็คโกสโลวะเกีย ถือเป็นกรณีตัวอย่างในแบบเรียนกรณีการเผชิญหน้ากันระหว่างความรุนแรง กับ อำนาจในรัฐที่บริสุทธิ์ ซึ่งการครอบงำในกรณีนี้ยากที่จะประสบความสำเร็จ ความรุนแรงไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับจำนวน (number) หรือความคิดเห็น (opinion) แต่ขึ้นอยู่กับการลงมือปฏิบัติ (implement) และการปฏิบัติความรุนแรงก็เหมือนกับเครื่องมือชนิดอื่นๆ ในการเพิ่มพูนความเข้มแข็งของมนุษย์ สำหรับผู้ที่ปฏิเสธความรุนแรง (violence) โดยการใช้แต่อำนาจ (power) แต่เพียงอย่างเดียว ในที่สุดเขาก็จะพบว่า เขาไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์ แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับวัตถุสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ของการทำลายล้าง และความไร้มนุษยธรรมก็จะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากับระยะทางที่ห่างจากศัตรู (ความร้ายกาจของอาวุธ)
ความรุนแรง (violence) ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับความน่าสะพรึงกลัว (Terror) ซึ่งมิใช่สิ่งเดียวกัน แต่มักจะเป็นรูปแบบของการปกครอง หรือรัฐบาล (a form of government) ซึ่งนำไปสู่การใช้ความรุนแรงในการทำลายล้างอำนาจทุกอย่างโดยไม่หยุด ประสิทธิผลของความน่าสะพรึงกลัวขึ้นอยู่กับระดับของการสร้างความเป็นเนื้อเดียวกันกับสังคม (social atomization) โดยจะแทรกซึมเข้าไปอยู่ในส่วนย่อย ๆ ของสังคมผ่านสายลับ (the informer) ที่เข้าไปแทรกอยู่ในทุก ๆ เรื่อง ความแตกต่างระหว่าง “อำนาจเบ็ดเสร็จ” (totalitarianism) ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความกลัว กับ ความเป็นทรราชย์ (tyrannies) และความเป็นเผด็จการ (dictatorships) ที่เกิดขึ้นโดยใช้ความรุนแรงก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “อำนาจเบ็ดเสร็จ” (totalitarianism) ไม่เพียงแต่กระทำต่อศัตรูเท่านั้น แต่ยังกระทำต่อเพื่อน และผู้สนับสนุนอีกด้วย ซึ่งจุดสุดยอดความน่าสะพรึงกลัวจะเกิดขึ้นเมื่อรัฐตำรวจเริ่มต้นกลืนกินเด็ก ๆ ลูกหลานของตนเอง และมือสังหารเมื่อวันก่อนกลับกลายเป็นเหยื่อ (victim)ในวันนี้ (Clausewitz, 1984 : 55)
ในประเด็นเรื่อง “ความก้าวร้าว” (Aggressiveness) ที่ถือว่าเป็นความรุนแรง (violence) รูปแบบหนึ่ง และมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ใหม่ว่า “Polemology” คลอสวิทซ์ (Clausewitz) เห็นว่ามีข้อโต้ถียง 2 ประการในการตอบคำถามถึงที่มาในความก้าวร้าวของมนุษย์ดังนี้ (Clausewitz, 1984 : 59)
(1) เกิดมาจากความล้มเหลวที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของมนุษย์กับสัญชาตญาณในเรื่อง “ลัทธิเขตแดนของกลุ่ม” ในสัตว์ชนิดอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม คลอสวิทซ์ (Clausewitz) กลับรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าสัตว์บางชนิดมีพฤติกรรมเหมือนมนุษย์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะให้เหตุผล หรือจะตำหนิพฤติกรรมของมนุษย์ได้อย่างไร และไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมักจะได้ยินคนกล่าวว่า “ให้จำไว้ว่าคน ๆ นั้นมีพฤติกรรมเหมือนสัตว์ที่อยู่เป็นฝูง” (Clausewitz, 1984 : 59)
(2) เกิดมาจากผลงานวิจัยทั้งทางสังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมความ
รุนแรงเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ (natural reaction) มากกว่าความตั้งใจ หรือเตรียมการให้เกิดขึ้น
“ความก้าวร้าว” หมายถึง แรงขับตามสัญชาติญาณ (instinctual drive) ซึ่งแสดงบทบาทเชิงหน้าที่ตามธรรมชาติในสัญชาติญาณการเจริญพันธุ์ และเรื่องเพศ แต่ที่ไม่เหมือนกับสัญชาติญาณเหล่านี้ที่ถูกกระตุ้นจากความจำเป็นทางด้านร่างกาย หรือตัวเร้าภายนอก สัญชาติญาณความก้าวร้าวในสัตว์เป็นอิสระจากแรงกระตุ้น ตรงกันข้ามหากขาดแรงกระตุ้นก็จะนำไปสู่อาการหงุดหงิด ซึ่งความก้าวร้าวเก็บกดจะทำให้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น และระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก ในความหมายนี้ ความรุนแรงโดยพื้นฐานมีหน้าที่ในการดูแลรักษาตัวเอง จึงนำไปสู่ข้ออ้างที่ว่าทำไมมนุษย์จึงมีความเลวร้ายกว่าสัตว์ เพราะมนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลเหนือกว่าสัตว์ที่มีแต่เพียงสัญชาติญาณ และมนุษย์สามารถสร้างเครื่องมือ หรืออาวุธที่มีพิสัยไกลซึ่งทำให้เขาเป็นอิสระจากข้อจำกัดทางธรรมชาติที่เราพบในบรรดาสัตว์อื่น ซึ่งการประดิษฐ์เครื่องมือเป็นกิจกรรมด้านจิตใจ และสติปัญญาที่มีความสลับซับซ้อนสูง
นอกจากความรุนแรงกับประเด็นปัญหาทางสังคมการเมืองที่กล่าวถึงมาทั้งหมดตั้งแต่ประเด็นสงคราม (War) การเมือง (Politics) อำนาจ (Power) ขบวนการเคลื่อนไหว (Movement) ความก้าวหน้า (Progress) และความก้าวร้าว (Aggressiveness) ข้างต้นแล้ว มิติการเมืองระหว่างประเทศยังมีความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในหมู่ประเทศอาณานิคม (Colonized Countries) ทั้งในระหว่างตกเป็นอาณานิคม ของประเทศมหาอำนาจตะวันตก และหลังจากหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคม (Decolonization) แล้ว ดังกล่าวถึงผลงานของ ฟรานซ์ ฟาน็อง (Frantz Fanon) ที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนในประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม
การหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมมีความรุนแรงเสมอ ไม่ว่าจะศึกษาในระดับใด เช่น ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ชื่อใหม่ของสโมสรกีฬา การชุมนุมของคนที่หลากหลายในงานค็อกเทลปาร์ตี้ ในสถานีตำรวจ หรือบนป้ายประกาศของธนาคารชาติ และธนาคารเอกชน การพ้นจากอาณานิคมที่แท้จริงก็คือ “การแทนที่ของมนุษย์สายพันธุ์หนึ่งด้วยมนุษย์อีกสายพันธุ์หนึ่งนั่นเอง” (Frantz Fanon, 1999 : 157)
จากคำกล่าวข้างต้นย่อมแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนผ่านจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งย่อมก่อให้เกิดการสูญเสีย ความเจ็บปวด และทนทุกข์ทรมาน ซึ่งอาจจำแนกได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิตที่ถูกบังคับฝืนใจ และระดับการเปลี่ยนแปลงด้านการปกครอง และตัวผู้ปกครอง โลกแห่งอาณานิคมคือโลกของการถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของชาวพื้นเมือง (a native quarter) และส่วนของชาวยุโรป (European quarter) ตัวอย่างเช่น โรงเรียนของชาวพื้นเมือง และโรงเรียนสำหรับชาวยุโรป ซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการเหยียดสีผิว (Apartheid)ในประเทศแอฟริกาใต้ หากเราศึกษาระบบนี้อย่างใกล้ชิดจะเห็นเส้นแบ่งของพลังอำนาจที่ถูกนำมาใช้ ซึ่งเขตแดนระหว่างชาวพื้นเมือง และเจ้าอาณานิคมอยู่ที่โรงทหาร และสถานีตำรวจ ส่งผลให้การใช้กำลังอำนาจรัฐในเชิงกดขี่มีความแตกต่างกันระหว่างประเทศทุนนิยม กับ ประเทศอาณานิคมจะมีการใช้กำลังทหาร และตำรวจในการบังคับกดขี่ประชาชนให้ยินยอมและปฏิบัติตาม
ในการแบ่งแยกโลกอาณานิคมออกเป็น 2 ส่วนนั้น ส่วนของชาวยุโรป หรือผู้เข้าครองครองจะเต็มไปด้วยความเจริญก้าวหน้า หรูหรา สะดวกสบาย มีระดับ และรสนิยม ทั้งในแง่ของโครงสร้างทางถาวรวัตถุ อาคารสถานที่ และวิถีชีวิตทั้งหมด ตรงกันข้ามกับส่วนที่เป็นของชาวพื้นเมือง จะเต็มไปด้วยลักษณะของความด้อยพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ได้แก่ ความยากจน ล้าหลัง อดอยาก และสกปรก อาชญากรรม แหล่งเสื่อมโทรม ยาเสพติด และโสเภณี เป็นต้น
เมื่อเราศึกษาบริบทของส่วนที่เป็นอาณานิคมอย่างใกล้ชิดจะพบว่า สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นโลกของพวกอาณานิคมเริ่มต้นจากความจริงเกี่ยวกับการเป็น หรือไม่เป็นของเชื้อชาติ หรือสายพันธุ์ที่กำหนดเอาไว้ ในโลกอาณานิคมโครงสร้างส่วนย่อยทางเศรษฐกิจ ก็คือโครงสร้างใหญ่ จึงมีคำกล่าวที่ว่า “คุณร่ำรวยเพราะคุณเป็นคนผิวขาว และคุณเป็นคนขาวเพราะคุณร่ำรวย” (Frantz Fanon, 1999 : 159) ด้วยเหตุนี้ในการวิเคราะห์แบบมาร์กซิสม์ (Marxism) จึงควรขยายความให้ชัดเจนเสียก่อนที่จะศึกษาปัญหาอาณานิคม รวมทั้งการศึกษาสังคมก่อนทุนนิยม (pre-capitalist society) การอ้างถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ (divine right) มีความจำเป็นต่อการอ้างความชอบธรรมในการปกครอง และความแตกต่างระหว่างทาส (serf) กับอัศวิน (knight) อีกด้วย
นอกจากนั้นความรุนแรง (violence) ยังเป็นวิธีการที่นำไปใช้ในการปกครอง และสร้างกฎระเบียบเหนือโลกอาณานิคม อันถือว่าเป็นการทำลายรูปแบบสังคมของชาวพื้นเมือง และไม่เป็นการรักษาคุณค่าของระบบเศรษฐกิจ ธรรมเนียมการแต่งกาย และวิถีชีวิต เป็นต้น นอกจากนั้นในแง่ของสังคมวัฒนธรรม ความเชื่อ และค่านิยม ของโลกคนพื้นเมืองที่อยู่ใต้อาณานิคมยังถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ไม่มีอารยะธรรม งมงาย และชั่วร้าย เลวทรามอีกด้วย และในที่สุดความเหนือกว่าในเชิงค่านิยมของโลกตะวันตก และของคนผิวขาวในประเทศอาณานิคมที่มีอยู่เหนือวิถีชีวิต และความคิดของชาวพื้นเมือง กลับสร้างความรู้สึกในเชิงเครียดแค้น และเกียจชังในหมู่คนพื้นเมืองหลังสิ้นยุคอาณานิคม

ส่วนที่สอง: การวิเคราะห์อภิปราย และตีความประเด็นปัญหาสำคัญในทางวิชาปรัชญาการเมือง กับเหตุการณ์ทางสังคมการเมืองร่วมสมัย
จากการพรรณนาข้อโต้ถียงประเด็นปัญหา “อำนาจ ความรุนแรง และสงคราม” ในส่วนแรก จะเห็นว่าสงคราม (war) และความรุนแรง (violence) มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเอง และสัมพันธ์กับประเด็นความคิดทางการเมือง (political thought) อื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่อง “อำนาจ” (power) อย่างแยกไม่ออกทั้งนี้เพราะการเมือง (politics) เป็นเรื่องของอำนาจ ความชอบธรรมในการปกครอง และการต่อสู้แข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ และการปกครองเหนือแผ่นดิน และกลุ่ม สำหรับการวิเคราะห์อภิปรายประเด็นปัญหาที่น่าสนใจในการศึกษาปรัชญาการเมือง อาจจะจำแนกให้เห็นทีละประเด็นดังต่อไปนี้
ประเด็นแรก : ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรง และสงคราม ( the relationship between war and violence) เป็นประเด็นที่ควรจะกล่าวถึงเป็นลำดับแรก สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนในความเกี่ยวพันธ์ก็คือ “ความรุนแรง ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นสงครามเสมอไป แต่สงครามทุกครั้งคือการใช้ความรุนแรงเสมอ” (ซึ่งสงครามเย็นก็มีมาตรการด้านความรุนแรงอยู่ด้วย) ดังนั้น ความสัมพันธ์ประการแรก คือ ความรุนแรง (violence) ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม (war) ประการที่สอง ความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันระหว่างสงคราม (war) กับความรุนแรง (violence) ก็คือพื้นฐานที่การใช้กำลัง (force) ซึ่งการใช้กำลังในการกระทำทั้งสองประเภทนี้อาจจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิทธิความชอบธรรม หรือไม่ก็ได้ แต่โดยทั่วไปเรามักจะมีหลักเกณฑ์ หรือกฎในการใช้ความรุนแรง ที่เรียกว่า “ใช้กำลังบังคับตามกฎหมาย” หรือ “ปฏิบัติภายใต้กฎหมาย” หรือ “มีความชอบธรรมในการใช้กำลัง” เป็นต้น แต่ในกรณีสงคราม มักจะเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากสงครามเป็นเรื่องระหว่างประเทศมากกว่าภายในประเทศหรือรัฐเดียวกัน ยกเว้น สงครามกลางเมืองซึ่งมักจะจบลงที่ฝ่ายชนะสามารถอ้างสิทธิความชอบธรรมได้ ประการที่สาม การใช้ความรุนแรง (violence) มักจะมีระดับ (degree) ความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันหลายระดับตั้งแต่รุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงมาก และการใช้มาตรการความรุนแรงก็อาจจะเลือกใช้ได้ตามดุลยพินิจ ตามสถานการณ์ และโอกาสอีกด้วย แต่กรณีสงคราม (war) มักจะเป็นความรุนแรงขั้นสุดท้าย
ดังนั้นในปัญหาของความคิดทางการเมืองควรจะต้องกล่าวถึงประเด็นเรื่องของ “อำนาจความชอบธรรมและความเป็นธรรม” ในการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ซึ่งมาตรการขั้นสุดท้ายคือสงคราม ควรจะหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ซึ่งปัญหาร่วมสมัยที่ควรพิจารณาก็คือ ปัญหาความรุนแรง และสงครามระหว่างอิสราเอล กับปาร์เลสไตน์ รวมถึงปัญหาระหว่างรัฐบาลของประเทศต่างๆกับชนกลุ่มน้อย และกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน รวมทั้งในกรณีของไทย ในปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สถานการณ์ปัจจุบันน่าจะเรียกว่า “สงครามแบ่งแยกดินแดน” มากกว่า “ความไม่สงบ”ทั้งนี้เพราะมีกระบวนการ และการจัดตั้งเชิงสถาบัน รวมทั้งมีเป้าหมายในแง่ของการแบ่งอำนาจอธิปไตยของรัฐ มีการใช้ความรุนแรงติดอาวุธอย่างต่อเนื่องตลอดมา ดังนั้นประเด็นเรื่องสงคราม และความรุนแรง จึงควรนำไปสู่การวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง เพื่อนำไปสู่หนทางวิธีการแก้ไขปัญหาให้เกิดสันติภาพในที่สุด
ประเด็นที่สอง : ปัญหาเรื่องความรุนแรง (violence) กับอำนาจ (power) จะเห็นได้ว่าคำทั้งสองมักจะมีความใกล้ชิดกัน หรือเป็นเงาของกันและกันเสมอ ทั้งนี้เพราะ”อำนาจ” (power) จะเกิดมีขึ้นมิได้หากไม่มีอำนาจบังคับบัญชา (command) และการยอมเชื่อฟัง (obedience) จากคนอื่น หรือกลุ่ม ซึ่งการมีอำนาจบังคับบัญชาให้คนอื่นเชื่อฟังได้นั้นจะต้องมี “มาตรการในการให้คุณให้โทษ” ซึ่งมาตรการดังกล่าวอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “มาตรการความรุนแรง” นั่นเอง ซึ่ง เบอรตรอง เดอ จัววองนอง (Bertrand de Jouvenel) กล่าวเอาไว้ว่า “หากปราศจากการบังคับบัญชา และการเชื่อฟังก็ไม่มีอำนาจ” (Hannah Arendt, 1970 : 36-37) ด้วยเหตุนี้แม้ว่า “ความรุนแรง” กับ “อำนาจ” จะแตกต่างกันแต่ก็มักจะปรากฏให้เห็นอยู่ควบคู่กันเสมอ ซึ่งในแง่ของรัฐบาล และการปกครอง (บริหาร) การใช้อำนาจอย่างเดียวโดยไม่พิจารณามาตรการในเรื่องความรุนแรงก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จ หรือหากใช้แต่ความรุนแรงแต่เพียงอย่างเดียว รัฐบาลก็อาจอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้การใช้อำนาจ (power) จำเป็นต้องอาศัยการช่วยเหลือจากผู้อื่น และการใช้อำนาจจะประสบผลสำเร็จได้จะต้องอาศัยการยินยอมเชื่อฟัง หากไม่มีการยินยอมเชื่อฟังอำนาจก็สิ้นสุดเช่นกัน
กรณีของการเมืองร่วมสมัย ในกรณีการเมืองโลก ปัญหาการยอมรับ และความชอบธรรมของมหาอำนาจโลกในกลุ่มประเทศอิสลามหัวรุนแรง และกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ไม่กี่ประเทศจะเห็นได้ว่าอำนาจของสหรัฐอเมริกาแผ่ขยายออกไปทั่วทุกมุมโลก และประสบความสำเร็จประการหนึ่งด้วยเพราะความเหนือกว่าทางเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางอาวุธ และความเข้มแข็งทางทหาร แต่ในแง่ของการยอมรับในกลุ่มประเทศดังกล่าวยังถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นอำนาจของสหรัฐฯ ยังอยู่ที่การยอมรับเชื่อฟังของบรรดาพันธมิตรเก่าแก่ทั้งหลาย และองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ เป็นต้น รวมทั้งประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการความช่วยเหลืออีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สหรัฐอเมริกาจึงกล้าตัดสินใจทำสงคราม และรุกรานประเทศแถบตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีอิรัก และอาฟกานิสถาน อย่างง่ายดาย โดยอาศัยข้ออ้างในนาม “สงครามเพื่อความยุติธรรม” (Just War) (ซึ่งอาจเรียกว่า “สงครามต่อต้านก่อการร้าย”หรืออื่น ๆ ก็ได้) รวมทั้งกรณีการใช้อำนาจเหนือกว่าของจีน ที่กระทำต่อไต้หวัน แม้ว่าประชาชนไต้หวัน และประชาคมโลกจะไม่ยอมรับการกระทำ และการขู่บังคับ (รวมทั้งการออกกฎหมายให้สามารถใช้อำนาจความรุนแรง-สงครามกับไต้หวัน) ของจีนก็ตาม
ประเด็นที่สาม : ความทันสมัย และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของชาติที่มีอารยะธรรม (civilized nations) มิได้เป็นตัวหยุดยั้งความรุนแรง และสงครามลงได้ เราไม่ควรเปรียบเทียบสงครามระหว่างประเทศที่มีอารยะธรรม (civilized nations) ว่ามีความรุนแรงน้อยกว่า หรือมากกว่าประเทศป่าเถื่อน (the Savage) ในยุคก่อน ทั้งนี้เพราะมีเหตุผลปัจจัยที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการพัฒนา และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ในช่วง 2-3 ศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้ศตวรรษที่ 20 ตามทัศนะของเลนิน (Lenin) เต็มไปด้วยสงคราม และการปฏิวัติ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นศตวรรษแห่งความรุนแรง ข้อนี้ถือว่าเป็นความจริง ไม่มีใครปฏิเสธ เพราะอย่างน้อย เพียงศตวรรษเดียวเกิดสงครามโลกขึ้นถึง 2 ครั้ง (หรือ 3 ครั้งหากนับสงครามเย็น) เป็นยุคที่กล่าวได้ว่า “พัฒนาการของความรุนแรงมาถึงจุดที่ไม่มีเป้าหมายทางการเมืองใดจะสามารถรับมือกับศักยภาพการทำลายล้างของมันได้” ทั้งนี้เพราะอาวุธสงครามที่ร้ายแรงก็คือ ขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถทำลายล้างชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ได้เพียงแค่กดปุ่ม แสดงให้เห็นว่าขอบเขตของความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นตามขีดความสามารถในการทำลายล้างของอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการสงคราม
ปัญหาก็คือ ทำอย่างไรจึงจะมีมาตรการยับยั้ง หรือป้องกันมิให้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีนำไปสู่ความคิดที่จะทำลายล้างซึ่งกันและกัน แต่ควรนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ และสังคมให้มนุษย์มีความสุขทั่วหน้ากันมากขึ้น หรือแสวงหาวิธีการป้องกันภัยธรรมชาติ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับโลกในอนาคตอันใกล้ร่วมกัน
ประเด็นที่สี่ : ขนาดความรุนแรงที่อยู่ในความสามารถของประเทศหนึ่งมิได้เป็นหลักประกัน หรือสร้างความมั่นใจว่าจะไม่ถูกตอบโต้โดยประเทศที่อ่อนแอกว่า หรือประเทศเล็ก ๆ หรือการมีอำนาจเหนือทางด้านกำลังอำนาจ (power) มิได้เป็นหลักประกันยืนยันได้ว่าการใช้ศักยภาพดังกล่าวรุกรานประเทศที่อ่อนแอกว่าจะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ต้องกลับไปดูบทเรียน และประสบการณ์ของประเทศมหาอำนาจในอดีตที่ไม่สามารถเอาชนะสงครามในประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนหลายๆ ประเทศ เช่น สงครามเวียตนาม ในแอฟริกา ละตินอเมริกา รวมถึงกรณีอื่น ๆ เช่น การถูกโจมตีก่อวินาศกรรมเมื่อ 11 กันยายน 2001 (9/11) ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จโดยกรณีโจมตีประเทศอิรัก แต่เป้าหมายของการทำสงครามถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นการใช้ความเหนือกว่าในแง่ของเทคโนโลยี และความรุนแรงแต่เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้โดยง่าย หากประสบกับขบวนการต่อต้านของผู้ที่ไม่เชื่อฟังยินยอม รวมทั้งมติ ข้อเรียกร้อง วิจารณ์ประชาคมโลกที่ไม่ต้องการสงคราม และความรุนแรง
ประเด็นที่ห้า : ขบวนการความรุนแรงทางสังคม และการเมืองภายในประเทศ (domestic violence) เช่น ขบวนการนักศึกษา ขบวนการแรงงาน และการเคลื่อนไหวทางการเมือง (political participation) ถือว่าเป็นระดับหนึ่งของความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมดา และเป็นสากลทั่วโลก ซึ่งในทางวิชาการ หรือในกลุ่มผู้เคลื่อนไหวมักจะเรียกว่า “การมีส่วนร่วมทางการเมือง” (political participation) ไม่ว่าขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านี้จะมีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับกลุ่มตัวเอง หรือเรียกร้องความเป็นธรรม หรือเพื่อต่อต้าน หรือสนับสนุนก็ตาม ถือว่าขบวนการที่นำไปสู่ความรุนแรงทางสังคมการเมือง ปัญหาก็คือ รัฐจะต้องมีมาตรการในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้อย่างมีเหตุผล มีความชอบธรรม และการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้ มิฉะนั้นการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงทางการเมือง และสงครามกลางเมืองได้ อย่างไรก็ตามขบวนการเคลื่อนไหวที่เป็นพหุสังคมในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาถือว่ามีความสำคัญต่อกระบวนการสร้างระบอบการเมืองระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และอาจจะเป็นหลักประกันมิให้รัฐบาล หรือผู้นำใช้อำนาจเผด็จการ และเบ็ดเสร็จ ซึ่งกรณีนี้จะนำไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เว้นแต่ในกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ที่ห้ามมิให้มีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมการเมือง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการใช้อำนาจสิทธิ์ขาด และความรุนรงต่อประชาชนอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
ประเด็นที่หก : ประเด็นเรื่องศักดิ์ศรีกับความเป็นทาส กรณีคำกล่าวของฟรานซ์ ฟาน็อน (Frantz Fanon) ที่ว่า “ยอมดออยากอย่างมีศักดิ์ศรี ดีกว่าการกินขนมปังในขณะเป็นทาส” สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นปัญหาทางความคิด ปรัชญาการเมืองในแง่ของการต่อสู้ของคนที่อ่อนแอ ยากจนหรือเสียเปรียบโดยไม่ยอมตกเป็นทาสของคนที่แข็งแรงกว่า หรือมีอำนาจมากกว่า ในสภาพหรือสถานการณ์ของความอดอยาก ทนทุกข์ทรมาน ถือว่าเป็น “ความรุนแรง” ชนิดหนึ่งซึ่งมักจะนำไปสู่ขบวนการต่อสู้ที่กล่าวมาในประเด็นก่อน หากเราวิเคราะห์อย่างละเอียดจะพบว่าในสถานการณ์ของโลกยุคโลกาภาวัฒน์ ที่รัฐชาติเปรียบเสมือนบุคคล ดังนั้นอาจจะต้องกำหนดนิยามความหมายของการตกเป็นทาสเสียใหม่ ซึ่งกระบวนการทำให้ตกเป็นทาสอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่นการทำให้ประเทศหนึ่งยอมรับ และเชื่อฟังในอำนาจเรื่องใดเรื่องหนึ่งของอีกประเทศหนึ่งโดยไม่สามารถอยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธได้ อาจจะเรียกว่าเป็นทาสหรือไม่ รวมทั้งการตกอยู่ภายใต้อำนาจทางทหาร อำนาจเศรษฐกิจ อำนาจทางการเงิน อำนาจทางสังคมวัฒนธรรม และค่านิยม กรณีตัวอย่างร่วมสมัยก็คือ การเลียนแบบ และยึดถือค่านิยมวัฒนธรรมแบบตะวันตกในหมู่ผู้คนในประเทศกำลังพัฒนาที่มาพร้อมกับข้ออ้างเรื่องเสรีภาพ และอิสรภาพ โดยมิได้นำแนวคิดหลักที่เป็นแก่นแท้ของค่านิยมวัฒนธรรมเหล่านั้นมาด้วย ทำให้หลงผิด และคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการ “กินขนมปังขณะเป็นทาส” หรือไม่ เป็นต้น
ประเด็นที่เจ็ด : รัฐบาลไม่อาจใช้วิธีการของความรุนแรงแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองประเทศ แม้แต่รัฐบาลที่เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ (totalitarianism) ถือว่าเป็นประเด็นที่ยังคงมีข้อโต้เถียงกันอยู่เสมอในปัจจุบัน เพราะยังมีหลายประเทศในขณะนี้ที่ยังปกครองประเทศ และประชาชนของตนเองโดยใช้วิธีการที่รุนแรงทั้งทางตรง และทางอ้อม ทั้งนี้เพราะการใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จในที่สุดแล้วก็จะอยู่ไม่ได้ หรืออยู่ได้อย่างลำบากขึ้น เนื่องจาก ประการแรก ขาดความชอบธรรมในแง่ของการปกครองภายใต้กฎหมาย และความเป็นธรรม มนุษยธรรม ประการที่สอง ขาดการเชื่อฟัง ยอมรับ สนับสนุน และการยอมปฏิบัติตามของประชาชนในระยะยาว ประการที่สาม แรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจตะวันตก และประเทศเพื่อบ้าน หรือประเทศคู่ค้าทางเศรษฐกิจ และประการที่สี่ ขบวนการต่อต้านอำนาจเผด็จการภายในประเทศ อย่างไรก็ดี ประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จในความเป็นจริงก็มิได้ใช้มาตรการรุนแรงในการปกครองเสมอไป เพราะยังมีการผ่อนคลายและเปิดโอกาสในแง่ของสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนอยู่ตลอดเสมอ แต่ยังคงสงวนรักษาอำนาจปกครองบังคับที่สำคัญบางอย่างเอาไว้ ในประเด็นนี้สามารถนำไปสู่การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจตะวันตก กับประเทศที่ต่อต้านตะวันตก (มุสลิมหัวรุนแรง และคอมมิวนิสต์หัวเก่า) รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทุนนิยม กับ ประเทศกำลังพัฒนา (ด้อยพัฒนา) ทั้งหลาย ซึ่งมักจะนำไปสู่ความรุนแรงได้เสมอ
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ประเด็นปัญหาปัญหาทางความคิด และปรัชญาการเมืองว่าด้วยความรุนแรง และสงคราม ยังคงนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ให้เห็นความจริงในสังคมการเมืองร่วมสมัยได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ความหนักแน่น และน่าเชื่อถือย่อมขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจในเชิงทฤษฎี กับ ความชัดเจนในปัญหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน

ส่วนที่สาม : การวิจารณ์และอภิปรายสังคมการเมืองไทยร่วมสมัยโดยอาศัยกรอบความคิดทางเมืองเรื่องอำนาจ ความรุนแรง และสงคราม
สังคมการเมืองไทยในรูปแบบที่ประชาชนมีสิทธิ และอำนาจในการปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ และรัฐสภา เริ่มในปี พ.ศ.2475 แต่มิได้หมายความว่าก่อนนั้นไม่มีการเมืองประมาณ 70 ปีที่ผ่านมาการเมืองไทยมี “ความรุนแรงทางการเมือง” เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะกรณีการทำรัฐประหาร และการยึดอำนาจทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จประมาณ 20 ครั้ง ครั้งสุดท้ายกรณี “ร.ส.ช.” เมื่อปี พ.ศ.2534 ซึ่งทั้งหมดมีความรุนแรงที่เกิดกับประชาชน และนักศึกษาผู้เดินขบวนเรียกร้องโดยมีการสังหารหมู่ (massacre) ประมาณ 3-4 ครั้ง ได้แก่ หนึ่งกรณี 14 ตุลาคม 2516 สอง กรณี 6 ตุลาคม 2519 สาม กรณีพฤษภาทมิฬ 2535 และสี่ปัญหาความวุ่นวายและเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 กล่าวโดยสรุประยะเวลาสั้นๆ ของสังคมการเมืองแบบประชาธิปไตยของไทยเต็มไปด้วยความรุนแรง สำหรับในระยะเวลาประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาความรุนแรงเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคแดนภาคใต้ในขบวนการเพื่อแบ่งแยกดินแดน โดยรัฐบาลตอบโต้ด้วยมาตรการที่รุนแรง แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เป็นผลสำเร็จ และเหตุการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด กล่าวได้เหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวถือว่าเป็น “สงครามกลางเมืองย่อยๆ” หรืออาจจะเป็นสงครามกองโจร ก็ได้
ปัญหาความรุนแรงในสังคมการเมือง ไม่ควรมีนิยามที่แคบเฉพาะเรื่องของการเมือง แต่ควรขยายไปถึงความรุนแรงในรูปแบบอื่นๆ ด้วย ในที่นี้อยากจะสรุปให้เห็นถึงความรุนแรงในรูปแบบต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรง
1) ปัญหาความรุนแรงทางการเมือง ได้แก่ การยึดอำนาจ รัฐประหาร การลุกฮือประท้วงและการสังหารหมู่ประชาชน-นักศึกษา รวมทั้งการสังหารนักการเมืองทั้งระดับชาติ และท้องถิ่นรวมทั้งปัญหาการต่อสู้ และแข่งขันทางการเมืองในการเลือกตั้ง เป็นต้น
2) ปัญหาความรุนแรงทางการปกครอง หรือบริหาราชการแผ่นดิน เริ่มตั้งแต่การทุจริตคอรัปชั่น การประท้วงเรียกร้องกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรม การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การทำร้ายผู้ต้องหา การบังคับข่มขู่ประชาชน รวมถึงเรื่องสินบน และการวิ่งเต้นเส้นสาย รวมถึงการปรับปรุงปฏิรูประบบราชการ เป็นต้น
3) ปัญหาความรุนแรงทางสังคม นับว่ามีปัญหามากที่สุด เพราะมีขอบเขตกว้างขวาง และแก้ไขได้ยาก เริ่มตั้งแต่ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด การทะเลาะวิวาท โสเภณี ฯลฯ ปัญหาคนจนและเกษตรกรไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น กรณีที่ดินทำกิน ปัญหาค่าแรงงาน สหภาพแรงงานถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ ปัญหาด้านสุขภาพ อนามัยแพทย์ทำคนไข้เสียชีวิต ปัญหาด้านการศึกษา เป็นต้น
4) ปัญหาความรุนแรงด้านเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การว่างงาน การคุ้มครองผู้บริโภค การผูกขาด สินค้าแพง ราคาน้ำมัน เงินกู้-หนี้สิน ดอกเบี้ย ธุรกิจการเงินนอกระบบ แชร์ ขายตรง และการโฆษณาเกินจริง เป็นต้น
5) ปัญหาความรุนแรงด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ความรุนแรงอยู่ที่การทำลายทรัพยากรธรรมชาติทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ การทำลายสิ่งแวดล้อมกำหนด ได้แก่ น้ำเสีย อากาศเป็นพิษ ดินถูกทำลาย เสียงดังเกินกำหนด กลิ่นเหม็นรบกวน สารเคมีเป็นพิษ เป็นต้น
6) ปัญหาความรุนแรงด้านเอกลักษณ์ และวัฒนธรรม ปัญหาด้านนี้มักปรากฏออกมาในรูปของการทำลายเอกลักษณ์วัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย รวมทั้งเรื่องของพุทธศาสนา ศิลปะ ประติมากรรม ดนตรีไทย และภาษาไทย ซึ่งหากไม่มีการสงวนรักษาเอาไว้คงเดิมก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ใช้ความรุนแรงด้วยเช่นกัน
7) ปัญหาความรุนแรงด้านภัยธรรมชาติ ได้แก่ ไฟไหม้ น้ำท่วม แผ่นดินไหว โคลนถล่ม พายุถล่ม และโลกร้อน เป็นต้น
8) ปัญหาความรุนแรงด้านอื่น ๆ เช่น ความรุนแรงและความขัดแย้งในการแข่งขันกีฬาที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม ความรุนแรงในวงการบันเทิง ศิลปิน ดารา ภาพยนตร์ และดนตรี เป็นต้น

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นได้ในทุกสาขา ทุกระดับ และมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันออกไป ความรุนแรงบางอย่างแก้ไขได้ บางอย่างแก้ไขไม่ได้
และบางอย่างอาจถูกมองข้าม และถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
กล่าวโดยสรุปสงคราม และความรุนแรง (War and Violence) ถือว่าเป็นประเด็นปัญหาสำคัญในการศึกษาปรัชญา และความคิดการเมืองร่วมสมัย ทำให้เราเห็นว่าความคิดเรื่องความรุนแรงและสงครามเข้าไปเกี่ยวข้องกับความคิดทางการเมืองในเรื่องของอำนาจ (power) การปกครองและรัฐบาล (government) ได้อย่างแนบสนิท กล่าวว่าพลังอำนาจ (force) เป็นเครื่องมือของความรุนแรง และความรุนแรง เป็นเครื่องมือของสงคราม และสงครามถือว่าเป็นมาตรการขั้นสุดท้ายของการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะกรณีปัญหาระหว่างประเทศ หรือการเมืองโลกรวมถึงกิจการภายในประเทศก็ย่อมหลีกหนีไม่พ้นเรื่องของความรุนแรง และสงครามในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเสมอ ประเด็นปัญหาที่ควรให้ความเข้าใจก็คือความชอบธรรม และความเป็นธรรมในการใช้ความรุนแรง และการก่อสงคราม ที่จะมีผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อมในระยะสั้น และระยะยาว ดังนั้นบุคคลทุกฝ่าย และทุกประเทศจึงควรตระหนัก และระลึกคิดทบทวนให้รอบคอบอยู่เสมอก่อนที่จะใช้วิธีการที่รุนแรง และสงคราม

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

กฎหมายปกครอง

วิชากฎหมายปกครอง
กฎหมายปกครอง เป็น กฎหมายมหาชน กฎหมายมหาชน เป็น กฎหมายกฎหมายที่กำหนดสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน ในฐานนะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ปกครองมีอำนาจเหนือเอกชน หรือระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง
กฎหมายปกครอง จึงเป็น กฎหมายมหาชน ที่วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารของรัฐ การดำเนินกิจกรรมของฝ่ายปกครองในการจัดบริการสารธารณะ และวางหลักความเกี่ยวพันในทางปกครองระหว่างฝ่ายปกครองกับเอกชน และฝ่ายปกครองด้วยกันเอง รวมทั้งกำหนดสถานะและการกระทำทางปกครอง
ในระบบการปกครองประเทศแบ่งองค์กรที่ใช้อำนาจเป็น 3 ฝ่าย
- ฝ่ายนิติบัญญัติ
- ฝ่ายบริหาร
- ฝ่ายตุลาการ
ฝ่ายปกครองเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในฝ่ายบริหาร งานของฝ่ายบริหารแยกเป็น 2 ส่วน คือ
1. งานทางการเมือง มีพระมหากษัตริย์ใช้อำนาจผ่านทางคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นรัฐบาล ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการใช้ ข้อบังคับกฎหมายต่างๆ
2. งานทางปกครอง เป็นส่วนที่เรียกว่า ราชการประจำ มีหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติตามนโยบายที่ฝ่ายบริหารในส่วนที่เป็นการเมืองกำหนดขึ้น คือ
- ราชการส่วนกลาง คือ กระทรวง ทบวง กรม
- ราชการส่วนภูมิภาค คือ จังหวัด อำเภอ
- ราชการส่วนท้องถิ่น มี 2 รูปแบบ
1. รูปแบบทั่วไป คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล

2. รูปแบบพิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร พัทยา
- รัฐวิสาหกิจ
- องค์กรอิสระ เป็นองค์กรของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นองค์กรที่อิสระจากการควบคุมของฝ่ายบริหาร(รัฐบาล)โดยตรง เนื่องจากภารกิจของหน่วยงาน เช่นธนาคารแห่งประเทศไทย
- คณะกรรมการต่างๆ
แนวคิดพื้นฐานของกฎหมายปกครอง คือ ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ

1. รัฐโดยองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของคนหมู่มากในสังคมหรือประโยชน์สาธารณะ
2. ในกรณีที่ประโยชน์ส่วนตัวของเอกชนสอดคล้องกับประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ รัฐก็ใช้นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชนได้
3. ในกรณีที่ประโยชน์ส่วนตัวของเอกชนไม่สอดคล้องกับประโยชน์สาธารณะจะต้องให้ประโยชน์สาธารณะอยู่เหนือประโยชน์ส่วนตัวของเอกชน
4. ถ้าเอกชนไม่ยินยอมที่จะสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์สาธารณะ ก็จะต้องให้รัฐโดยองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจบังคับเอกชนเพื่อประโยชน์สาธารณะได้
กิจกรรมของฝ่ายปกครอง แบ่งเป็น
1. การกระทำทางแพ่ง คือ สัญญาทางแพ่ง เช่นองค์กรของรัฐซื้อคอมพิวเตอร์
2. การกระทำทางปกครอง คือ ผลิตผลของการใช้อำนาจรัฐตามกฎหมายขององค์กรหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง
การกระทำทางปกครอง แบ่งเป็น
1. นิติกรรมทางปกครอง
2. ปฏิบัติการทางปกครอง
นิติกรรมทางปกครอง
1. นิติกรรมฝ่ายเดียว คือ กฎ
คำสั่งทางปกครอง
2. นิติกรรมหลายฝ่าย คือ สัญญาทางปกครอง
ลักษณะของนิติกรรมทางปกครอง
1. เป็นการกระทำขององค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง ที่กระทำโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ เพื่อแสดง
เจตนาให้ปรากฏต่อบุคคล
2. เจตนาที่แสดงออกมานั้น ต้องมุ่งหมายที่จะให้เกิดผลทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น เช่น ถ้าหน่วยงานราชการมีหนังสือ เตือน ให้คุณมาต่อใบอนุญาต แบบนี้ไม่เป็นนิติกรรมทางปกครอง เพราะไม่ได้มุ่งให้เกิดผลทางกฎหมาย คุณจะต่อหรือไม่ต่อก็เรื่องของคุณ
3. ผลทางกฎหมายที่มุ่งหมายให้เกิดขึ้น คือ การสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งมีอำนาจ หรือสิทธิเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกระทำ หรืองดเว้นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งมีผลเป็นการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น ถ้าอธิบดีกรมการปกครองอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน 2535 ออกคำสั่งแต่งตั้งบุคคลให้เป็นปลัดอำเภอ เท่านี้ก็เกิดนิติสัมพันธ์แล้ว ระหว่างอธิบดีกรมการปกครองกับบุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดอำเภอ ถือว่าเป็นการก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ต่อกัน หรือ ถ้าคู่กรณีเดิมปลัดอำเภอทำความผิดร้ายแรง อธิบดีกรมการปกครองไล่ออก ผลทางกฎหมาย คือ ระงับสิ้นสุดสิทธิและหน้าที่ต่อกัน ถึงแม้จะเป็นการระงับ แต่ผลทางกฎหมายก็เกิดขึ้น คือ สิทธิและหน้าที่ของอีกฝ่ายสิ้นสุดลง
4. นิติสัมพันธ์ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวขององค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่จำเป็นต้องให้ความยินยอม ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการแสดงเจตนาทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อนั้นจะไม่ใช่นิติกรรมทางปกครอง แต่จะแปรสภาพเป็น สัญญาทางปกครอง เช่น ก.ไปยื่นคำขอพกอาวุธปืน ในทางปกครองถือว่าการยื่นคำขอไม่ใช่คำเสนอ และเมื่อฝ่ายปกครองอนุญาตก็ไม่ใช่คำสนอง การที่มีขั้นตอนยื่นคำขอเข้าไปก่อน เรียกว่า เงื่อนไขความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง เป็นเงื่อนไขว่าถ้าไม่ทำตามขั้นตอนเช่นนี้นิติกรรมทางปกครองก็ไม่สมบูรณ์เมื่อขาดลักษณะใดลักษณะหนึ่งของนิติกรรมทางปกครองก็จะกลายเป็นปฏิบัติการทางปกครอง
ประเภทของนิติกรรมทางปกครอง
กฎ เป็นบทบัญญัติที่มีผลเป็นการบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เช่นพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ
คำสั่งทางปกครอง เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล ในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว ที่มีผลบังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ
เงื่อนไขความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง
1. อำนาจ เจ้าหน้าที่ที่ทำนิติกรรมต้องมีอำนาจ เป็นอำนาจที่กฎหมายให้มา
2. แบบและขั้นตอนที่เป็นสาระสำคัญของการทำนิติกรรมทางปกครอง เพราะถ้าไม่ใช่สาระสำคัญก็จะไม่กระทบต่อความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 3618/2535
3. วัตถุประสงค์ นิติกรรมทางปกครองต้องมีวัตถุประสงค์ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ การใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ การกระทำของฝ่ายปกครองก็ต้องไม่ขัดต่อวัตถุประสงค์ที่กฎหมายเฉพาะกำหนดถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4. ไม่บกพร่องเรื่องเจตนา จะต้องไม่เกิดจากการถูกฉ้อฉล ไม่สำคัญผิดหรือไม่ถูกข่มขู่ เช่น ผู้ขอสัมปทานร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับล่างบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพพื้นที่ หัวหน้าหลงเชื่อก็สั่งการไป ก็เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ
5. เงื่อนไขอื่นๆ เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด เช่น พระราชบัญญัติสถานบริการ มาตรา 21 วรรค 2 ว่าการสั่งพักใบอนุญาตสั่งได้ครั้งละ 30 วัน เพราะฉะนั้นจะสั่งพักใบอนุญาตในระยะเวลาที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไม่ได้
กิจการที่ฝ่ายปกครองที่เป็นการกระทำทางปกครอง มี 2 ด้าน

1. กิจการในทางควบคุม เป็นการวางกฎเกณฑ์และบังคับให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์เพื่อความมั่นคง เพื่อการจัดการเรียบร้อย เป็นการที่ฝ่ายปกครองใช้อำนาจฝ่ายเดียวที่จะกำหนดให้ฝ่ายเอกชนต้องปฏิบัติตาม และบังคับให้ฝ่ายเอกชนที่ฝ่าฝืนต้องปฏิบัติตาม เช่น เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มีอำนาจออกระเบียบ ห้ามสร้างอาคารสูงเท่านั้นเท่านี้ เมื่อมีการฝ่าฝืนเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่มีอำนาจก็บังคับ โดยเข้ารื้อถอนอาคาร การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ ออกระเบียบ เป็นนิติกรรมทางปกครองประเภทกฎ เพราะมีผลบังคับเป็นการทั่วไป การที่เจ้าพนักงานไปรื้ออาคารที่สร้างฝ่าฝืนเป็นการปฏิบัติการทางปกครอง
2. กิจการในทางบริการ เช่น
- กิจกรรมเพื่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน เช่น การป้องกันประเทศ
- กิจการเพื่อความสงบเรียบร้อย เช่น การสาธารณสุข การศึกษา
- กิจการเพื่อความสะดวกสบายของประชาชน เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน โทรศัพท์ สัญญาจ้างก่อสร้างถนน วางท่อประปา เป็นสาธารณูปโภคอย่างหนึ่ง และเป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์
สัญญาทางปกครอง
คำนิยาม ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
สัญญาทางปกครองมีลักษณะ ดังนี้
1. คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นฝ่ายรัฐซึ่งอาจจะเป็นองค์กรหรือบุคคลที่กระทำแทนรัฐอาจทำสัญญาได้ 2 ลักษณะ จะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือจะเป็นสัญญาทางแพ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของรัฐ เช่น กระทรวงกลาโหมขับไล่ผู้บุกรุกที่ดินที่จังหวัดนครนายกเพื่อจัดสร้างโรงเรียนเตรียมทหาร กระทรวงกลาโหมใช้วิธีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเจรจาให้ค่าขนย้ายกับผู้บุกรุกแล้วตกลงค่าขนย้ายกัน จะเห็นได้ว่ากระทรวงกลาโหมไม่ได้เข้าทำสัญญาโดยใช้อำนาจรัฐ แต่ลดตัวลงมาเท่ากับเอกชนเจรจาต่อรองกัน เพื่อให้เขาขนย้ายออกไปโดยจ่ายเงิน สัญญานี้เป็นสัญญาทางแพ่งไม่ใช่สัญญาทางทางปกครอง (คำวินิจฉัยชี้ขาดที่ 12/45)
แต่สัญญาซื้อที่ดินตามพระราชกฤษฎีกาเวนคืนเพื่อนำมาสร้างถนนหรือใช้ในกิจการอื่นของรัฐ แม้ว่าจะเป็นสัญญาซื้อขายแต่ต้องดำเนินกระบวนการทางปกครองมาก่อน คือจะต้องมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเวนคืน มีการสำรวจที่ดิน มีคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น แล้วแจ้งให้ผู้ถูกเวนคืนทราบว่าพอใจหรือไม่ จะพอใจหรือไม่พอใจก็ทำสัญญาซื้อขายเพื่อให้กรรมสิทธิ์โอนจะเห็นว่ารัฐใช้อำนาจเหนือ คือกำหนดราคาข้างเดียว ไม่มีการเจรจาต่อรอง ถ้าไม่ขายก็ออกพระราชบัญญัติเวนคืนเอาที่ดินได้อยู่ดี ดังนี้เป็นสัญญาทางปกครองเพราะรัฐใช้อำนาจเหนือ (คำวินิจฉัยชี้ขาดที่ 22-23/47)
2. ลักษณะของสัญญา ซึ่งมีตัวอย่างตามตัวบทดังนี้
สัญญาสัมปทาน เป็นสัญญาที่รัฐให้เอกชนเข้ามาดำเนินกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งของรัฐ โดยเอกชนเก็บเงินหรือผลประโยชน์และจ่ายค่าตอบแทนให้แก่รัฐ ซึ่งรัฐใช้อำนาจเหนือ โดยรัฐกำหนดและเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้เอง
สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ เป็นการบริการสาธารณะที่รัฐต้องทำ แต่รัฐให้เอกชนมารับไปทำแทน เช่น ให้เก็บขยะ ซึ่งการเก็บขยะเป็นการบริการสาธารณะที่รัฐต้องทำ แต่สัญญาจ้างบริษัทมาทำความสะอาดในสถานที่ราชการ เช่น ศาลยุติธรรมจ้างเอกชนมาทำความสะอาดบริเวณศาล งานปัดกวาดเช็ดถูไม่ใช่สาระสำคัญของภารกิจศาลยุติธรรม ไม่ใช่การบริการสาธารณะ จึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาทางแพ่ง สัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค เช่น สัญญาจ้างเอกชนวางท่อประปา สัญญาก่อสร้างถนน เป็นสัญญาทางปกครอง สัญญาให้แสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ผู้ที่จะหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้คือรัฐ ซึ่งเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของส่วนรวม การที่รัฐจะมอบให้เอกชนแสวงหาประโยชน์ได้ โดยเอกชนให้ค่าตอบแทนแก่รัฐ เป็นสัญญาทางปกครอง
สัญญาอุปกรณ์ของสัญญาทางปกครอง เช่น สัญญาจ้างก่อสร้างถนน เป็นสัญญาทางปกครอง ส่วนสัญญาประกันการก่อสร้างโดยธนาคารเข้ามาประกันว่าจะต้องก่อสร้างให้เสร็จเป็นสัญญาอุปกรณ์ สัญญาอุปกรณ์เป็นสัญญาทางแพ่ง แต่คณะกรรมการชี้ขาดฯ ให้อยู่ในอำนาจศาลปกครอง
พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
ขั้นตอนต่างๆ ในการดำเนินกระบวนการพิจารณาทางปกครองตามที่พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองกำหนดไว้
1. การกำหนดตัวบุคคลที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางปกครอง คู่กรณี
2. การดำเนินกระบวนพิจารณาทางปกครอง เจ้าหน้าที่
3. การออกคำสั่งทางปกครอง รูปแบบและผลของคำสั่งทางปกครอง
4. การทบทวนคำสั่งทางปกครอง
- เพิกถอนคำสั่งทางปกครอง
- การอุทธรณ์
- การขอให้พิจารณาใหม่
5. การบังคับทางปกครอง
การพิจารณาทางปกครอง หมายความว่า การเตรียมการและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ เพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครอง การพิจารณาจะต้องเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ และสิ่งที่เจ้าหน้าที่กระทำต้องเป็นคำสั่งทางปกครอง

เจ้าหน้าที่ หมายความว่า บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ซึ่งใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐในการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้นในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐหรือไม่ก็ตาม พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้กำหนดหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ไว้ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปโดยชอบ เป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาขน เพื่อให้การควบคุมและการคุ้มครองเกิดการสมดุล หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ แยกได้ดังนี้
1. ในการจัดทำคำสั่งทางปกครอง จะต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจในเรื่องนั้นตามมาตรา 12 เช่น ถ้าออกโฉนดที่ดิน จะไปขอที่กรมสรรพากรไม่ได้ จะต้องไปขอที่กรมที่ดินที่มีอำนาจและหน้าที่ในการออกโฉนดที่ดิน
2. เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่พิจารณาคำสั่งทางปกครอง จะต้องมีความเป็นกลางไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องที่ตนพิจารณา ตามมาตรา 13 – 16 เช่น นาย ก. เป็นผู้พิจารณาทุนการศึกษา โดยมีคนเข้ามาของทุน 2 คน คนหนึ่งเป็นลูกของนาย ก. อีกคนเป็นบุคคลภายนอก บุคคลภายนอกสามารถคัดค้านเปลี่ยนแปลงตัวเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้พิจารณา คือเปลี่ยนแปลงตัวนาย ก. ออกไป ให้คนอื่นเข้ามาพิจารณาทุนการศึกษาแทน
3. กระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งปกครอง ต้องยึดหลักความเรียบง่าย รวดเร็วและถูกต้อง ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิและหน้าที่ ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองให้คู่กรณีทราบ ตามมาตรา 33 ประกอบมาตรา 27 เช่น เราต้องการปลูกสร้างอาคาร ก็ไปยื่นคำขอปลูกสร้างอาคาร แล้วเอกสารที่เตรียมไปไม่ถูกต้องสมบูรณ์ หรือดำเนินการไปไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องบอกว่าทำอย่างไรแก้ไขตรงไหน ซึ่งมาตราที่กำหนดไว้คือ มาตรา 33 ประกอบมาตรา 27
4. ในการพิจารณาทางปกครอง เจ้าหน้าที่อาจตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตามความเหมาะสมในเรื่องนั้นๆ โดยไม่ต้องผูกพันอยู่กับคำขอหรือพยานหลักฐานของคู่กรณี โดยเจ้าหน้าที่ต้องพิจารณาหลักฐานที่ตนเห็นว่าจำเป็นแก่การพิสูจน์ข้อเท็จจริง หลักการนี้เป็นหลักการพิจารณาแบบไต่สวน ตามมาตรา 28 ประกอบมาตรา 29
5. ต้องรับฟังผู้ถูกกระทบสิทธิในกรณีที่คำสั่งทางปกครองกระทบสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่จะต้องให้คู่กรณีมีโอกาสได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตน ตามมาตรา 30
6. คู่กรณีมีสิทธิขอดูเอกสารที่จำเป็นต้องรู้เพื่อการชี้แจง หรือป้องกันสิทธิของตน แต่เจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธได้ในกรณีที่ต้องรักษาได้เป็นความลับ ตามมาตรา 31 , 32
7. เจ้าหน้าที่ต้องให้เหตุผลในการทำคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา 37
8. เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิในการอุทธรณ์ ตามมาตรา 40 คือ มาตรา 40 กำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องระบุวิธีการยื่นอุทธรณ์ และระยะเวลาในการอุทธรณ์ไว้ในคำสั่งทางปกครอง หากเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนไม่แจ้งหรือแจ้งไม่ครบถ้วนตามเงื่อนไข ให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง หากไม่มีการแจ้งสิทธิในการอุทธรณ์ใหม่ ผู้รับคำสั่งทางปกครองก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้ใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งทางปกครอง
ตัวอย่าง นาย ก. ได้ขอเปิดโรงงาน แล้วไปยื่นคำขอโดยบอกว่ารอบพื้นที่โรงงานจะขอเปิดไม่มีใครอยู่ ถ้าเจ้าหน้าที่เชื่อตามที่นาย ก. พูด โดยไม่มาดูเองก็ไม่ใช่ระบบการไต่สวน ถ้าเกิดรอบๆ โรงงานของนาย ก. เป็นชุนชนล่ะ กฎหมายจึงให้สิทธิแก่เจ้าหน้าที่ว่า นอกจากจะดูจากพยานหลักฐานของคู่กรณีที่ยื่นมาแล้ว ยังสามารถไปสืบเสาะข้อเท็จจริงเองได้ ตามมาตรา 28 , 29 แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ไปดูมาแล้วบอกว่า ที่ตั้งของโรงงานมันไม่เหมาะ แถวนั้นเป็นที่ตั้งของชุมชนเดี๋ยวมีการปล่อยน้ำเสียลงไป ชุนชนจะเดือนร้อนเพราะส่งกลิ่นเหม็น กฎหมายก็ให้สิทธิแก่คู่กรณี (นาย ก.) ไปหาพยานหลักฐานมาเพิ่มเติมได้ แต่ก็ให้สิทธิคู่กรณีโต้แย้งแสดงหลักฐานเพิ่มเติมได้ ตามมาตรา 30 แต่ถ้าเข้าข้อยกเว้นใน 6 อนุมาตรา เจ้าหน้าที่ไม่ต้องให้โอกาสคู่กรณีแสดงหลักฐานเพิ่มเติม

คู่กรณี หมายความว่า ผู้ยื่นคำขอหรือผู้คัดค้านคำขอ ผู้อยู่ในบังคับหรือจะอยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครอง และผู้ซึ่งได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองเนื่องจากสิทธิของผู้นั้นจะถูกกระทบกระเทือนจากผลของคำสั่งทางปกครอง
คู่กรณี แยกได้ 3 ปะเภท
1. ผู้ยื่นคำขอ หรือ ผู้คัดค้านคำขอ เช่น นาย ก. ไปขอออกโฉนด แล้วนาย ข. ก็มาคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน นาย ก. เป็นผู้ยื่นคำขอ ส่วนนาย ข. เป็นผู้คัดค้านคำขอ
2. ผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครอง คือ ข้าราชการที่ถูกลงโทษทางวินัย
3. ผู้ที่เข้ามาในกระบวนพิจารณาทางปกครองเนื่องจากสิทธิของผู้นั้นถูกกระทบกระเทือนจากคำสั่งทางปกครอง เช่น นาย ก. ยื่นขออนุญาตก่อสร้างโรงงาน แต่ว่าที่ดินของนาย ก. ที่จะสร้างโรงงานไปติดกับที่ดินนาย ข. นาย ข. เกรงว่าถ้านาย ก. ได้รับอนุญาตให้เปิดโรงงาน ที่ดินนาย ข. อาจจะได้รับผลกระทบจากเสียง น้ำเสีย เช่นนี้ นาย ข. คือผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนจากคำสั่งทางปกครอง
สิทธิของคู่กรณี
1. สิทธิคัดค้าน ความไม่เป็นกลางของเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 13
2. สิทธิในการมีที่ปรึกษา (มาตรา 23) หรือ ผู้ทำการแทน (มาตรา 24)
3. สิทธิที่จะได้รับคำแนะนำและแจ้งสิทธิและหน้าที่ต่างๆ จากเจ้าหน้าที่ ในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง ตามมาตรา 27 เพราะฉะนั้นหากมีข้อบกพร่องที่เกิดจากความไม่รู้ เจ้าหน้าที่ต้องแนะนำให้ทราบเพื่อให้คู่กรณีได้แก้ไข
4. สิทธิในการที่จะได้รับการพิจารณาอย่างสมบูรณ์ ตามมาตรา 28 , 29
5. สิทธิที่จะได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำคำสั่งทางปกครองที่ถูกกระทบสิทธิ และมีสิทธิโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานต่อเจ้าหน้า ตามมาตรา 30
6. สิทธิในการขอดูเอกสารพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ใช้ในการออกคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา 31 และมาตรา 32
7. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาโดยเร็ว มาตรา 33
8. สิทธิที่จะได้ทราบเหตุผลของการวินิจฉัยสั่งการ เพื่อความชัดเจนและเพื่อประโยชน์ในการโต้แย้งคำสั่ง ตามมาตรา 37 แต่มีข้อยกเว้นคำสั่งทางปกครองบางประเภทที่ไม่ต้องให้เหตุผลคือ
(1) คำสั่งบรรจุแต่งตั้งข้าราชการ
(2) การเลื่อนขั้นเงินเดือน
(3) คำสั่งพักราชการ
9. สิทธิที่จะได้รับแจ้ง วิธีการอุทธรณ์ และระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ ตามมาตรา 40
คำสั่งทางปกครอง
คำสั่งทางปกครอง เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสภาพของสิทธิและหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว ที่มีผลบังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัย การรับรองและการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ
ลักษณะของคำสั่งทางปกครอง
1. คำสั่งทางปกครอง จะต้องเป็น “ การใช้อำนาจตามกฎหมาย ” เพราะฉะนั้นการกระทำใดๆ ก็ตามที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ก็ไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง ถ้าเจ้าหน้าที่ใช้สิทธิสัญญากระทำการกับคู่สัญญา อีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครอง
2. ต้องเป็นการใช้อำนาจของ “ เจ้าหน้าที่ ” เท่านั้น ( ตามคำนิยาม ม.5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 )
3. มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งผลนั้นเป็นการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล
4. มีผลกระทบต่อบุคคลใดโดยเฉพาะ
กฎ เป็นบทบัญญัติที่มีผลเป็นการบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เช่น พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ
ลักษณะของกฎ

1. บุคคลที่ถูกบังคับให้กระทำการ ถูกห้ามมิให้กระทำการ หรือได้รับอนุญาตให้กระทำการ ต้องเป็นบุคคลที่ถูกนิยามไว้เป็น ประเภท คือต้องนิยามไว้ว่าเป็นคนกลุ่มไหน เป็นคนประเภทไหน ซึ่งถึงแม้ว่าถูกนิยามไว้เป็นประเภทแล้ว ก็ยังเป็นคนจำนวนมากไม่รู้จำนวนที่แน่นอน เพราะบังคับใช้เป็นการทั่วไป เช่น เป็นผู้เยาว์ บังคับแก่บุคคลที่มีสัญชาติไทย
2. กรณี (การกระทำ) ที่บุคคลดังกล่าวถูกบังคับให้กระทำการ ห้ามมิให้กระทำงาน หรือได้รับอนุญาตให้กระทำการ ต้องถูกกำหนดไว้เป็นนามธรรม เช่น ห้ามมิให้ผู้ใดสูบบุหรี่บนรถประจำทาง เป็นการกำหนดกรณีเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่ารถประจำทางเบอร์อะไร ทะเบียนเท่าไหร่ หมายถึงทุกคัน
สรุป คำสั่งทางปกครอง คือ ข้อความที่บังคับให้บุคคลกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ห้ามมิให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออนุญาตให้การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งขาดลักษณะข้อใดข้อหนึ่งของกฎ แต่ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งทางปกครองหรือกฎก็ล้วนแต่เป็นนิติกรรมทางปกครองทั้งสิ้น เช่น ผู้ว่า กทม. ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น อาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ออกคำสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปในส่วนใดของอาคารเลขที่ 1234 เช่นนี้เป็นคำสั่งทางปกครอง แม้ว่าจะไม่ได้เจาะจงที่ตัวบุคคล แต่ก็เจาะจงที่อาคารเลขที่ 1234
สาเหตุ ที่จะต้องแยกส่วนคำสั่งทางปกครองและกฎให้ได้ เพราะกฎจะไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง คือ ถ้าจะเอากฎเข้าสู่กระบวนการของวิธีพิจารณาทางปกครอง ก็ไม่ต้องอุทธรณ์ ไปที่ศาลปกครองได้เลย แต่ถ้าเป็นคำสั่งทางปกครองจะต้องผ่านคำสั่งก่อน ถ้าไม่พอใจจึงจะนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครอง
แบบของคำสั่งทางปกครอง และการมีผลของคำสั่งทางปกครอง
คำสั่งทางปกครองมี 3 รูปแบบ
1. การออกคำสั่งทางปกครองด้วยวาจา มาตรา 34 ประกอบมาตรา 35 ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ในกรณีที่จำเป็นเร่งด่วน โดยไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลตามมาตรา 34 แต่ถ้ามีเหตุอันสมควรผู้รับคำสั่งทางปกครอง สามารถร้องขอภายใน 7 วัน นับแต่วันที่เจ้าหน้าที่มีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่ที่ออกคำสั่งด้วยวาจายืนยันคำสั่งโดยทำเป็นหนังสือได้ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งตามมาตรา 35 คำสั่งทางปกครองด้วยวาจามีผลทันทีเมื่อได้รับแจ้ง เช่น ตำรวจจราจรส่งให้หยุดรถเพื่อตรวจควันดำ เป็นคำสั่งด้วยวาจามีผลทันทีที่สั่ง
2. คำสั่งทางปกครองที่ทำเป็นหนังสือ มาตรา 36 กำหนดให้ระบุวัน เดือน ปี ที่ออกคำสั่งชื่อและตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ทำคำสั่งพร้อมลายเซ็น และเจ้าหน้าที่ต้องให้เหตุผลประกอบโดยมีข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญตามมาตรา 37 (2) (3) ดังนั้น คำสั่งทางปกครองที่เป็นหนังสือจะสมบูรณ์ต้องใช้มาตรา 36 ประกอบมาตรา 37 แต่จะมีข้อยกเว้นว่าบางทีก็ไม่ต้องให้เหตุผลก็ได้ เช่น ไปขอทำใบอนุญาตขับขี่ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ออกให้ เช่นนี้ไม่ต้องให้เหตุผลที่ออกใบอนุญาต เพราะว่าคำสั่งทางปกครองตรงตามคำขอ และไม่กระทบสิทธิและหน้าที่ของบุคคลอื่นตามมาตรา 37 วรรค 3 (1)
คำสั่งทางปกครองที่เป็นหนังสือมีผลทางกฎหมาย แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีการแจ้งเพราะคำสั่งทางปกครองที่เป็นหนังสือสามารถแจ้งได้หลายวิธี
2.1 ผู้รับแจ้งได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่โดยตรง ก็มีผลทันทีเมื่อได้รับหนังสือ ตามมาตรา 69 วรรค 2
2.2 เป็นการแจ้งโดยวิธีให้บุคคลนำไปส่ง คล้ายๆ กับการปิดหมายในทางแพ่ง คือนำไปวางที่ภูมิลำเนาแล้วปิดไว้โดยเจ้าพนักงานเป็นผู้รับรอง ตามมาตรา 70
2.3 เป็นการแจ้งโดยไปรษณีย์ตอบรับ ตามมาตรา 71
- ไปรษณีย์ตอบรับที่ส่งภายในประเทศ มีผลเมื่อครบกำหนด 7 วันนับแต่วันที่สั่ง
- ไปรษณีย์ตอบรับที่ส่งไปยังต่างประเทศ ถือว่าได้รับแจ้งเมื่อครบกำหนด 15 วันนับแต่วันที่ส่ง
2.4 การแจ้งกระทำโดยวิธีปิดประกาศไว้ ตามมาตรา 72 การแจ้งโดยวิธีนี้มีองค์ประกอบ 2 ข้อ
(1) ต้องมีจำนวนคู่กรณี 50 คนขึ้นไป
(2) ทันทีที่เขาเข้ามาเป็นคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องบอกไว้ว่าจะแจ้งโดยวิธีการปิดประกาศ ซึ่งให้มีผลนับจากวันที่ปิด ประกาศไปแล้ว 15 วัน
2.5 การแจ้งโดยประกาศในหนังสือพิมพ์ มีองค์ประกอบ 3 กรณี ตามมาตรา 73
(1) ไม่รู้ตัวผู้รับ
(2) รู้ตัวแต่ไม่รู้ว่าภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน
(3) รู้ตัวผู้รับและภูมิลำเนาของผู้รับ แต่มีผู้รับเกิน 100 คน ซึ่งมีผล 15 วันนับแต่วันแจ้ง
2.6 การแจ้งโดยวิธีส่งแฟกซ์หรือทางเครื่องโทรสาร การแจ้งทางโทรศัพท์ให้ใช้ในกรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น
3. คำสั่งทางปกครองโดยวิธีอื่น พิจารณาง่ายๆ คือไม่ใช่คำสั่งทางปกครองที่เป็นหนังสือหรือด้วยวาจา เช่น สัญญาณมือของตำรวจจราจร สัญญาณธงของเจ้าหน้าที่การรถไฟ สัญญาณไฟกระพริบของประภาคาร มีผลทันทีเมื่อได้รับแจ้ง
การสิ้นผลของคำสั่งทางปกครอง
1. สิ้นผลด้วยการเพิกถอน อาจเพิกถอนโดยตัวเจ้าหน้าที่ที่ออกคำสั่งเอง เพิกถอนโดยผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ที่ออกคำสั่งทางปกครอง หรือเพิกถอนโดยศาลปกครอง
2. สิ้นผลด้วยเงื่อนเวลา เช่นในใบอนุญาตแต่ละประเภทจะกำหนดไว้ว่าอนุญาตกี่ปี ถ้ายังไม่ครบตามที่กำหนดก็ยังมีผลอยู่ แต่ถ้าครบกำหนดแล้วใบอนุญาตก็สิ้นผล คำสั่งทางปกครองก็สิ้นสุด
3. สิ้นผลด้วยเหตุอื่น คือ สิ้นผลโดยคำพิพากษาของศาล
การทบทวนคำสั่งทางปกครอง
การทบทวนคำสั่งทางปกครอง แบ่งได้ 3 กรณี
1. การอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง
2. การเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง
3. การขอให้พิจารณาใหม่
การอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง คือ การโต้แย้ง คัดค้านในสิ่งที่ไม่เห็นด้วยในคำสั่งทางปกครอง การอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งทางปกครองออกมาแล้ว เมื่อไม่เห็นด้วยก็ต้องอุทธรณ์ จะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งทางปกครองออกมาแล้ว เมื่อไม่เห็นด้วยก็ต้องอุทธรณ์หรือเพิกถอน หรือจะขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อไม่เห็นด้วยก็จึงนำคดีไปสู่ศาลปกครอง
การอุทธรณ์ มี 6 หัวข้อ ดังนี้
1. ผู้ที่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง คือ คู่กรณีตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง คู่กรณี สามารถอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองได้หมดไม่ว่าจะเข้ามาสู่กระบวนการพิจารณาด้วยวิธีไหน ไม่ว่าจะเป็นผู้ยื่นคำขอ ผู้คัดค้านคำขอ ผู้ถูกกระทบสิทธิจากคำสั่งปกครอง
2. อุทธรณ์กับใคร ตามมาตรา 44 เป็นหลักของการอุทธรณ์ กำหนดไว้ว่าการอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งทางปกครอง ให้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครอง ซึ่งต่างจากการเพิกถอนและการขอให้พิจารณาใหม่
3. กำหนดเวลาอุทธรณ์ มาตรา 44 ถ้าไม่มีกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้จะต้องอุทธรณ์ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
4. รูปแบบของการอุทธรณ์ มาตรา 44 วรรค 2 กำหนดไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือและจะต้องมีเนื้อหาสาระที่เป็นทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่จะเอามาอ้างว่าไม่เห็นด้วยเพราะอะไร จะต้องระบุให้ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยตรงไหน ไม่เห็นด้วยในข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย หรือไม่เห็นด้วยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย จะต้องเขียนไว้ให้ชัดเจนในคำอุทธรณ์ต้องมีครบถ้วน
5. การพิจารณาอุทธรณ์ ตามมาตรา 46 ประกอบมาตรา 45
มาตรา 46 คือ การพิจารณาอุทธรณ์ของเจ้าหน้าที่ต้องทำอย่างไรบ้าง กระบวนการต้องทำอย่างไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่บังคับให้เจ้าหน้าที่ทำก็คือ เจ้าหน้าที่ที่รับคำอุทธรณ์จะต้องพิจารณาปัญหาข้อเท็จจริง ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องพิจารณาความเหมาะสมของการทำคำสั่งทางปกครองทันทีที่เจ้าหน้าที่ได้รับคำอุทธรณ์
มาตรา 45 เป็นการกำหนดเวลาให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะต้องพิจารณาคำอุทธรณ์และแจ้งให้ทราบถึงผลการพิจารณา ภายใน 30 วันนับแต่วันรับอุทธรณ์ คือ ภายใน 30 วันกระบวนการอุทธรณ์ต้องจบแล้ว ต้องรู้แล้วว่าภายใน 30 วันนี้ผลมันเป็นอย่างไร เพิกถอนหรือไม่ เปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนอย่างไรภายใน 30 วัน
6. ผลของการพิจารณาอุทธรณ์ มาตรา 46 ตอนท้าย อาจมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งทางปกครองเดิม หรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งนั้นไปในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งกฎหมายได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ไว้กว้าง ตรงที่ว่าไม่ว่าการเปลี่ยน

แปลงนั้นจะเป็นการเพิ่มภาระหรือลดภาระ สามารถเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแก้ไขตามคำอุทธรณ์ เป็นอำนาจดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่โดยแท้ไม่ผูกพันตามคำขอ ถ้าผู้อุทธรณ์ยังไม่พอใจก็ต้องฟ้องศาลปกครอง
ข้อสังเกต การฟ้องต่อศาลปกครอง ก็คือ เจ้าหน้าที่ที่พิจารณาอุทธรณ์จะต้องแจ้งให้ชัดเจนว่าฟ้องยังไง ฟ้องภายในเวลาเท่าไหร่ แต่โดยหลักแล้วต้องฟ้องภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลอุทธรณ์
การเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง
การเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง คือ การทบทวนคำสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครอง
การเพิกถอนต่างกับการอุทธรณ์ ตรงที่การเพิกถอนเป็นดุลยพินิจ เจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นต้องมีคนขอเข้าไป แต่การอุทธรณ์จะต้องมีคำขอเข้าไป
หลักเกณฑ์การเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง
1. ผู้มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา 49 วรรค 1 มี 2 คน
- เจ้าหน้าที่ออกคำสั่งทางปกครอง
- ผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ที่ออกคำสั่งทางปกครอง
2. ระยะเวลาในการเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง
จะเพิกถอนคำสั่งทางปกครองเมื่อไหร่ก็ได้ แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาของการอุทธรณ์ไปแล้วหรือแม้แต่ว่าคดีจะไปสู่ศาลปกครองแล้วก็เพิกถอนได้
ผลของการเพิกถอนคำสั่งปกครอง
คำสั่งทางปกครองมีการเพิกถอนไปแล้ว คู่กรณีที่ได้รับความเสียหายมีสิทธิได้รับค่าทดแทน เช่น ถ้ามีคำสั่งให้ปิดสถานประกอบการ 30 วัน ซึ่งความจริงแล้วเจ้าของสถานประกอบการไม่มีความผิด ไม่ได้ทำอะไรขัดต่อกฎหมาย ใน 30 วันที่ปิดกิจการเกิดความเสียหายขึ้น ขาดรายได้จาการประกอบกิจการ เจ้าของสถานประกอบการสามารถเรียกค่าทดแทนได้ ตามมาตรา 52
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เพิกถอนคำสั่งทางปกครองแล้ว และผู้รับคำสั่งทางปกครองได้รับความเสียหาย แล้วเจ้าหน้าที่ไม่จ่ายค่าเสียหาย ผู้รับผลกระทบสามารถไปเรียกร้องจากหน่วยงานที่เจ้าหน้าที่นั้นสังกัดอยู่ได้ภายใน 180 วัน
การขอให้พิจารณาใหม่
การขอให้พิจารณาใหม่ ตามมาตรา 54 เป็นกรณีที่ผู้รับคำสั่งทางปกครอง หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งทางปกครองขอให้เจ้าหน้าที่ออกคำสั่งทางปกครองเรื่องเดียวกันนั้นใหม่ และออกคำสั่งทางปกครองใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าไม่สามารถยื่นคำขอคำอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองไม่ได้แล้ว เนื่องจากล่วงเลยระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว ซึ่งการขอให้พิจารณาใหม่ เป็นการขอให้เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่ออกคำสั่งทางปกครองรื้อฟื้นเรื่องขึ้นมาใหม่ต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายบัญญัติ
ระยะเวลาในการขอให้พิจารณาใหม่ ตามมาตรา 54 วรรคท้าย
การยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ต้องกระทำภายใน 90 วัน นับแต่ที่ได้รู้ถึงเหตุที่อาจขอให้พิจารณาใหม่ได้
การขอให้พิจารณาใหม่ เจ้าหน้าที่จะทำการพิจารณาใหม่ได้จะต้องมีผู้ยื่นคำขอเข้าไปเหมือนกับการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง
การบังคับทางปกครอง มาตรา 55 – มาตรา 68
การบังคับทางปกครองมีเพื่อต้องการให้คำสั่งทางปกครองที่ออกไปเกิดผลในทางกฎหมาย และการใช้มาตรการบังคับทางปกครองจะต้องสมเหตุสมผล และชัดเจนแน่นอน
มาตรการบังคับทางปกครอง แยกได้ 2 ประเภท
ประเภทที่ 1 ตามมาตรา 57 เป็นคำสั่งให้ผู้ใดชำระเงิน เช่น ตำรวจจราจรตรวจควันดำแล้วให้จ่ายค่าปรับ การโบกรถให้หยุดเป็นคำสั่งทางปกครอง พอตรวจแล้วให้ปรับเป็นการปรับตามมาตรา 57 เป็นมาตรการบังคับทางปกครองที่ให้ชำระเงิน
ประเภทที่ 2 ตามมาตรา 58 คือคำสั่งทางปกครองที่ให้กระทำการหรือละเว้นกระทำการ เช่น คำสั่งให้รื้อถอนอาคาร คำสั่งให้ปิดโรงงาน เป็นคำสั่งให้กระทำการ คำสั่งห้ามไม่ให้ขายของหน้าโรงพยาบาล เป็นคำสั่งละเว้นกระทำการ
คำสั่งทางปกครองที่ให้กระทำการหรือละเว้นกระทำการ เจ้าหน้าที่มีมาตรการบังคับอยู่ 2 อย่าง
1. เจ้าหน้าที่เข้ามาดำเนินการแทน เช่น เจ้าหน้าที่สั่งให้รื้อแล้วไม่รื้อ เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาดำเนินการรื้อถอนอาคารเอง เป็นอำนาจตามมาตรา 58 (1)
2. เป็นการชำระค่าปรับทางปกครอง ต้องเป็นจำนวนที่สมควรแก่เหตุ แต่ไม่เกิน 20,000 บาทต่อวัน
ข้อยกเว้นที่ไม่ต้องออกคำสั่งทางปกครองให้กระทำหรือละเว้นกระทำ คือ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องบังคับการโดยเร่งด่วน เพื่อ
1. ป้องกันมิให้มีการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายที่มีโทษทางอาญา
2. มิให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ
แต่ต้องกระทำโดยสมควรแก่เหตุและภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน
มาตรา 59 กำหนดว่า ก่อนเจ้าหน้าที่จะใช้มาตรการบังคับใดๆ เจ้าหน้าที่จะต้องมีหนังสือเตือน และในหนังสือเตือนจะต้องระบุมาตรการที่จะให้กระทำได้ไว้ชัดเจน และต้องระบุค่าใช้จ่าย และระบุถึงด้วยว่าจะให้ใครไปกระทำการแทน มาตรา 59 ระบุว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องกระทำ ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการ
ระยะเวลาและอายุความ มาตรา 64

1. การนับระยะเวลาของคำสั่งทางปกครอง หรือเรื่องทางปกครองทั้งหมด ให้เริ่มต้นนับในวันรุ่งขึ้นไม่ใช่นับในวันที่มีคำสั่งทางปกครอง
2. ถ้าเป็นกรณีที่บังคับให้เจ้าหน้าที่ต้องกระทำ แม้ว่าวันสุดท้ายเป็นวันหยุดก็ให้นับรวมไปด้วย
3. ถ้าการนับระยะเวลาเป็นกรณีที่ต้องบังคับแก่ประชาชน ถ้าครบกำหนดระยะเวลาวันสุดท้ายเป็นวันหยุด ก็ไม่นับ ให้นับวันทำการวันแรกเป็นวันสุดท้าย
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
คดีปกครอง คือ คดีพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองออกกฎหรือคำสั่ง หรือกระทำการอื่นใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องมาจากการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร หรือเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง
ลักษณะสำคัญของคดีปกครอง
1. คดีปกครองเป็นคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน
2. คดีปกครองนั้นจะต้องเป็นคดีพิพาทที่เกิดขึ้นจากการกระทำ 3 ประการดังต่อไปนี้ ของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ คือ
(1) การกระทำที่เป็นการใช้อำนาจทางปกครอง
(2) การที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ทางปกครองตามที่กฎหมายให้ต้องปฏิบัติ แล้วต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นล่าช้าเกินสมควร
(3) สัญญาทางปกครอง
คดีที่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง
1. คดีตามมาตรา 9 วรรค 1 (1) การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มี 8 ลักษณะ
(1) กระทำโดยไม่มีอำนาจ คือ หน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกฟ้อง กระทำการออกคำสั่ง หรือกระทำการอื่นใด โดยทีไม่มีกฎหมายฉบับใดให้อำนาจไว้
(2) กระทำนอกเหนืออำนาจ เป็นเรื่องของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจจะกระทำได้ตามกฎหมายแต่กระทำนอกเหนือไปจากขอบเขตที่กฎหมายกำหนดให้อำนาจไว้
(3) กระทำไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นกรณีที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกกฎหรือออกคำสั่ง ซึ่งมีข้อความขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายฉบับที่ให้อำนาจไว้
(4) กระทำโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น เช่น กฎหมายกำหนดรูปแบบและขั้นตอนของการออกคำสั่งไว้และวางหลักไว้ว่า ผู้ออกคำสั่งจะต้องให้เหตุผลประกอบคำสั่ง ถ้าคำสั่งไม่มีเหตุผลประกอบเป็นการผิดแบบไม่เป็นไปตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด
(5) กระทำโดยไม่สุจริต เป็นการใช้อำนาจบิดเบือนโดยมีเจตนา หรือวัตถุประสงค์นอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวหรือของผู้อื่น ไม่ได้กระทำการนั้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะตามวัตถุประสงค์ของกฎมาย
(6) การกระทำที่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำโดยขาดหลักความเสมอภาค โดยใช้เกณฑ์ ทางเชื้อชาติ ศาสนา เพศ ความคิดทางการเมือง มาเป็นตัวตัดสิน เป็นต้น
(7) เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
(8) การใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ อำนาจดุลยพินิจ คือ การที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจตัดสินใจอย่างอิสระที่จะเลือกกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเลือกกระทำการหรือไม่กระทำการรักษาประโยชน์สาธารณะ โดยมีเหตุผลอันสมควรแล้ว ล้วนเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยชอบแล้ว
2. คดีที่ฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วแต่กรณีละเลยต่อหน้าที่ทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และมีคำขอให้ศาลพิพากษาให้
หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นภายในเวลาที่ศาลกำหนด ตามมาตรา 9 วรรค 1 (2) เช่น ประชาชนร้องเรียนเจ้าหน้าที่เนื่องจากบริษัทกำจัดขยะทำการกลบฝังหรือทำลายขยะไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ส่งกลิ่นเหม็น ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็ละเลยไม่ดำเนินการสั่งให้บริษัทระงับการกระทำดังกล่าว ถือเป็นคดีปกครองตามมาตรา 9 วรรค 1 (2) คำสั่งศาลปกครองสูงสุด 106/44
3. เป็นกรณีการละเมิดและความรับผิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และขอให้ศาลพิพากษาสั่งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเยียวยาความเสียหาย โดยสั่งให้ใช้เงินส่งมอบทรัพย์สิน หรือกระทำการหรืองดเว้นกระทำการ มีเงื่อนไข 2 ประการ
(1) ต้องเป็นคดีหรือข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ออกคำสั่ง มักใช้ใบอนุญาตโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
(2) เมื่อเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ก็ต้องประกอบด้วย 4 ข้อ
1. การใช้อำนาจตามกฎหมาย
2. การออกกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น
3. ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ เช่น เจ้าหน้าที่ละเลยไม่พิจารณาคำขออนุญาตเปิดกิจการโรงงาน เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการได้รับความเสียหาย
4. การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

4. คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ต้องดูว่าเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เป็นกรณีที่คู่ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงิน ค่าเสียหาย ฐานผิดสัญญาและส่งมอบทรัพย์สินหรือให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ ตามที่กำหนดไว้ในข้อสัญญา
5. เป็นคดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วแต่กรณี ฟ้องเอกชนต่อศาล และขอให้ศาลบังคับให้เอกชนทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เช่น กรณีบุคคลก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นรุกล้ำเข้าในน่านน้ำ ซึ่งเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือในทะเล หรือชายหาดของทะเล โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เจ้าท่ามีอำนาจออกคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนั้นออกไปให้พ้นทางน้ำ ถ้าผู้รับคำสั่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของกรมเจ้าท่า กรมเจ้าท่าไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะไปจัดการรื้อถอนอาคารนั้นด้วยตนเอง แต่กรมเจ้าท่าต้องไปฟ้องศาลขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้ผู้รับคำสั่งรื้อถอนอาคารนั้น
6. เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง เช่น ข้อพิพาทตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นข้อพิพาทตามสัญญาทางปกครอง ศาลปกครองมีอำนาจเหนือคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงต้องไปขอที่ศาลปกครอง
คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ตามมาตรา 9 วรรค 2
1. การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร
2. การดำเนินการของคณะกรรมการตุลาการกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ
3. คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลชำนัญพิเศษ
- ศาลเยาวชนและครอบครัว - ศาลแรงงาน
- ศาลภาษีอากร - ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
- ศาลชำนัญพิเศษอื่นๆ
เงื่อนไขการฟ้องคดีปกครอง
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับผู้มีสิทธิฟ้องคดี และความสามารถของผู้ฟ้องคดี ตามมาตรา 42
ผู้ที่ได้รับความเดือนร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อน หรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ อันเนื่องมาจาก
(1) การกระทำหรือการงดเว้นกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
(2) มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง
(3) กรณีอื่นที่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองตามมาตรา 9
(4) กรณีการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อน หรือความเสียหาย หรือยุติข้อโต้แย้งนั้น ต้องมีบังคับตามมาตรา 72
2. เงื่อนไขเกี่ยวกับคำขอในคำฟ้องให้ศาลมีคำบังคับ เพื่อแก้ไขความเดือนร้อนเสียหาย ตามมาตรา 72
(1) ขอสั่งให้เพิกถอนกฎหรือคำสั่ง หรือสั่งห้ามกระทำทั้งหมด หรือบางส่วน
(2) ขอให้ศาลสั่งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนด
(3) ขอให้ศาลสั่งให้ใช้เงิน หรือใช้ส่งมอบทรัพย์สิน หรือให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ เช่น ให้ชำระค่าจ้างหรือเงินอื่นใดตามสัญญาทางปกครอง
(4) สั่งให้ถือปฏิบัติต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น ฟ้องคดีเพื่อให้ศาลสั่งว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสัญชาติไทย และให้ถือปฏิบัติต่อผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้มีสัญชาติไทย
(5) สั่งให้บุคคลกระทำหรือละเว้นการกระทำ อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย เช่น เจ้าท่าสั่งให้รื้อถอนเรือนที่ปักเสาลงในน้ำ เมื่อเจ้าของเรือนไม่รื้อถอนก็ต้องฟ้องต่อศาล ให้ศาลสั่งให้รื้อถอนเรือน
3. เงื่อนไขเกี่ยวกับการเยียวยา แก้ไขความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี
4. เงื่อนไขเกี่ยวกับคำฟ้องและเอกสารที่ยื่นต่อศาล ( เป็นเรื่องของเสมียน)
5. เงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลาในการฟ้องคดี
คดีปกครองระยะเวลาในการฟ้องคดีสั้นมาก มีระยะเวลาอยู่ 3 กรณี
1. การฟ้องคดีปกครองทั่วไป ตามมาตรา 49 ถ้าเป็นคดีปกครองทั่วไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำสั่งทางปกครอง เรื่องกฎ จะต้องฟ้องภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี
2. การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือสัญญาทางปกครอง ต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการการฟ้องคดี แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่เหตุแห่งการฟ้องคดีมันเกิดขึ้น ตามมาตรา 51
3. การฟ้องคดีปกครองเกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือสถานะของบุคคล การฟ้องคดีในกรณีไม่มีอายุความฟ้องเมื่อใดก็ได้ ตามมาตรา 52
มาตรา 52 วรรค 2 เป็นลักษณะพิเศษของศาลปกครอง คือ การฟ้องคดีที่พ้นระยะเวลาไปแล้ว ศาลอาจใช้ดุลยพินิจรับไว้พิจารณาได้
6. เงื่อนไขเกี่ยวกับข้อห้ามในการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง มี 4 กรณี ศาลปกครองจะไม่รับฟ้องไว้พิจารณา
1. ฟ้องซ้ำ
2. ฟ้องซ้อน
3. ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
4. การห้ามฟ้องเจ้าหน้าที่ทำละเมินในการปฏิบัติหน้าที่ ตาม ม.5 แห่งความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ แยกได้ 2 กรณี

1. เจ้าหน้าที่ได้กระทำการละเมิดเนื่องจากการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ แยกได้ ดังนี้
1) ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของเจ้าหน้าที่
- ราษฎรได้รับความเสียหาย จะฟ้องเจ้าหน้าที่ทำละเมิดไม่ได้ จะต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวสังกัดอยู่โดยตรง ตาม ม.5 ซึ่งเมื่อหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายแล้ว ถ้าเจ้าหน้าที่นั้นได้รับกระทำการนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานของรัฐ มีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ดังกล่าวชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐนั้นได้ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ได้จงใจหรือว่ากระทำการประมาทเลินเล่ออย่างธรรมดา เจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องรับผิด ตาม ม.8
- หน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐทั้งเจ้าหน้าที่นั้นสังกัดอยู่หรือไม่ก็ตาม การเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ที่กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ม. 10 ได้บัญญัติให้นำ ม.8 มาใช้บังคับโดยอนุโลม คือ จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากหน้าเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดได้ เจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะต้องกระทำด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น ถ้าไม่ได้จงใจหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างธรรมดา จะเรียกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ได้
2.) การฟ้องคดี
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9(3) ได้กำหนดว่าคดที่พิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎคำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น ดังนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ได้กระทำละเมิดเนื่องจากการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ไม่ว่าจะได้กระทำต่อผู้เสียหายหรือหน่วยงานของรัฐ ก็จะต้องฟ้องคดีที่ศาลปกครองโดยอาศัย ม.9(3) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
2. เจ้าหน้าที่ได้กระทำละเมิดที่มิใช่ในการปฏิบัติหน้าที่
1) ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่
- ราษฎรที่ได้รับความเสียหาย สามารถฟ้องเจ้าหน้าที่ที่ทำละเมิดได้โดยตรงจะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้ เจ้าหน้าที่จะต้องรับผิดเป็นการเฉพาะตัวเนื่องจากากรทำละเมิด ตาม ม.6
- หน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่นั้นสังกัดอยู่หรือไม่ก็ตาม เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่ได้กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ ม.10 บัญญัติไว้ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
2) การฟ้องคดี เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่ได้กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่อยู่ในบังคับของ ม.9(3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 จึงไม่ใช่คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง จึงต้องนำคดีไปฟ้องที่ศาลยุติธรรม


“ เอ็งกินเหล้า เมายา ไม่ว่าหรอก

แต่อย่าออก นอกทางไป ให้เสียผล

จงอย่ากิน สินบาท คาดสินบน

เรามันชน ชั้นปัญญา ตุลาการ ”