ทฤษฎีว่าด้วย อำนาจ ความรุนแรง และสงคราม
(Theory of Power Violence and War)
บทความนี้ต้องการพรรณนาให้เห็นวาทกรรม และข้อโต้เถียงสำคัญในแนวคิด ทฤษฎีว่าด้วย “อำนาจ ความรุนแรง และสงคราม” โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงที่เป็นพื้นฐานความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการเมือง การปกครอง และปัญหาสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้สนใจ และนักศึกษาวิชาปรัชญาการเมืองเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับปัญหาเรื่องอำนาจ ความรุนแรง และสงคราม อันจะช่วยให้สามารถนำความรู้ไปใช้ในการวิเคราะห์ อภิปรายเกี่ยวกับปัญหาการเมืองโลก และปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทย การศึกษาในบทความนี้อาศัยผลงานของนักวิชาการการด้านปรัชญาการเมืองที่สำคัญ 3 ท่าน ได้แก่ ฮานาน์ อาเรนด์ (Hannah Arendt) ในผลงาน “On Violence” (1970) ฟรานซ์ ฟานอง (Frantz Fanon) ใน “Excerpt from ‘Concerning Violence’ in The Wretched of the Earth” (1999) และผลงานของ คาร์ล ฟอน คลอสซ์วิทซ์ (Carl von Clausewitz) ใน “On War” (1984) .
ผลการการศึกษา และการวิเคราะห์อภิปรายประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสังคมการเมืองโลก และสังคมการเมืองไทย สามารถจำแนกให้เห็นทีละประเด็นดังนี้
1. การศึกษานิยามความหมายของคำที่เกี่ยวข้องพบว่า “อำนาจ” (Power) หมายถึง การทำให้ผู้อื่นปฏิบัติให้เป็นไปตามความต้องการของเรา ซึ่งหัวใจสำคัญของอำนาจก็คือความสำเร็จของการบังคับบัญชา “อำนาจ” มิได้หมายถึงอำนาจของมนุษย์คนหนึ่ง ๆ ที่จะกระทำ แต่หมายถึงการมีอำนาจของเขาโดยการยอมรับของคนกลุ่มหนึ่งที่ให้กระทำในนามของพวกเขา ดังนั้นหากปราศจากกลุ่ม “อำนาจ” ก็จะสูญสิ้นไปด้วย “ความรุนแรง” (Violence) เป็นการแสดงออก หรือปฏิบัติการอย่างโจ่งแจ้งของอำนาจ เป็นพื้นฐานของอำนาจ และสงคราม (war) ส่วนคำว่า “สงคราม” (War) เป็นปฏิบัติการของความรุนแรงในการบังคับให้ผู้อื่นปฏิบัติตามความต้องการของเรา คำว่า “อำนาจ” (Power) กับ “อำนาจหน้าที่ (Authority) แตกต่างกัน เพราะ “อำนาจหน้าที่” หมายถึงอำนาจในเชิงสถาบันที่ใช้อยู่ในสถาบัน หรือหน่วยงาน เป็นสัญลักษณ์ (symbolic) ที่ได้รับการยอมรับโดยไม่ตั้งคำถามจากบุคคลผู้ซึ่งถูกสั่งให้เชื่อฟังโดยมิต้องใช้กำลังบังคับ
2. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง “อำนาจ” (Power) กับ “ความรุนแรง” (Violence) แม้จะแตกต่างกัน แต่ทั้งสองสิ่งมักจะปรากฏตัวควบคู่กันเสมอ และเมื่ออำนาจ กับ ความรุนแรงสามารถรวมตัวกันได้ “อำนาจ” (Power) จะเป็นตัวหลัก และมีบทบาทเหนือกว่า โดยธรรมชาติแล้ว “ความรุนแรง” (Violence) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ “อำนาจ” (Power) แต่การใช้ความรุนแรง(violence) มิใช่จะประสบความสำเร็จทุกครั้งเสมอไปแม้แต่ผู้ปกครองเผด็จการ (Totalitarian ruler) หรือการใช้กำลังอำนาจ ความรุนแรงในแง่ของการทำสงครามของประเทศมหาอำนาจที่กระทำต่อประเทศที่อ่อนแอกว่า ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง “ความรุนแรง” (Violence) กับ “สงคราม” (War) ความรุนแรงถือเป็นเครื่องมือของสงคราม ทั้งสองสิ่งนี้มีความเหมือนกันอยู่ที่การใช้กำลัง (force) ซึ่งอาจจะกระทำโดยอาศัยความถูกต้องชอบธรรม หรือไม่ก็ตาม นอกจากนั้นปฏิบัติการของ “ความรุนแรง” (Violence) ยังมีระดับ (degree) ตั้งแต่ระดับรุนแรงน้อยไปถึงรุนแรงมาก จนกระทั่งกลายเป็น “สงคราม” (War) ในที่สุด
3. การศึกษาพัฒนาการของความรุนแรง และสงคราม พบว่า ความทันสมัย และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมักจะนำไปสู่การสร้างอาวุธที่ทันสมัย และการทำสงครามระหว่างกัน แต่อย่างไรก็ตามประเทศใหญ่หรือมหาอำนาจซึ่งมีกำลังอาวุธมากกว่าและทันสมัยกว่ากลับมิได้เป็นหลักประกันว่าจะสามารถชนะสงครามต่อประเทศที่อ่อนแอกว่า หรือประเทศเล็กกว่าได้โดยง่าย เพราะการกระทำดังกล่าวมักจะนำไปสู่การต่อต้าน การไม่ยินยอม และการถูกประณามโดยนานาอารยะประเทศ และประชาคมโลก
4. การศึกษาประเด็นปัญหาในสังคมการเมือง และการปกครองไทย พบว่า นับตั้งแต่ไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ “อำนาจ” “ความรุนแรง” และ “สงคราม” อยู่ตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการใช้กำลังกองทัพ(ทหาร) เข้ายึดอำนาจการปกครองที่เรียกว่า “รัฐประหาร” ทั้งที่สำเร็จ และไม่สำเร็จมากกว่า 20 ครั้ง ปัญหาการใช้อำนาจโดยมิชอบ(การทุจริตประพฤติมิชอบ) ของนักการเมือง และข้าราชการประจำทั้งในระดับชาติ และท้องถิ่น การใช้อำนาจอิทธิพลทำร้าย และเข่นฆ่าคู่แข่งขันทางการเมือง ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด ปัญหาวัยรุ่นก่อความรุนแรง และอาชญากรรม รวมทั้งปัญหาความรุนแรง และสงครามใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
กล่าวโดยสรุป ปัญหาในสังคมการเมืองระหว่างประเทศ(โลก) และในสังคมการเมืองไทยสามารถนำแนวคิดพื้นฐานว่าด้วย “อำนาจ” (Power) “ความรุนแรง” (Violence) และ “สงคราม” (War) มาช่วยในการวิเคราะห์อภิปราย และขยายความเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
“สงครามยังคงเป็นความต่อเนื่องของยุทธวิธีทางการเมืองแบบเก่าที่สุดโต่งโดยอาศัยความรุนแรง” (That war is still the ultima ratio, the old continuation of politics by means of violence) (Hannah Arendt, 1970 : 6)
คำกล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “สงคราม” (war) กับ “ความรุนแรง” (violence) ซึ่งการศึกษาปรัชญาการเมืองประเด็นดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญและน่าสนใจอย่างยิ่งโดยสอดรับกับยุคสมัยการเมืองระหว่างประเทศ และของโลกที่ร้อนแรง นับตั้งแต่กรณีเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ค.ศ.2001 (หรือ 9 / 11 ที่เราทราบกันดี) รวมถึงกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และการเมืองไทยอีกด้วย การทำความเข้าใจประเด็นสงครามและความรุนแรงให้ใกล้ตัว และชัดเจนยิ่งขึ้นควรนำไปเปรียบเทียบกับเรื่อง “การเมือง” (plitics) และ “อำนาจ” (power) โดย ซี. ไรท์ มิลล์ C. Wright Mills กล่าวเอาไว้ว่า
“การเมืองคือการต่อสู้เพื่ออำนาจ และอำนาจสูงสุดคือ ความรุนแรง” (All politics is a struggle for power, the ultimate kind of powers is violence) (Hannah Arendt, 1970 : 35) ส่วนแม็ก เวเบอร์ (Max Weber) ให้นิยาม “รัฐ” เอาไว้ว่า “คือการปกครองมนุษย์โดยมนุษย์บนพื้นฐานของวิธีการที่ชอบธรรม นั่นคือความรุนแรงที่ชอบธรรม” (Hannah Arendt, 1970 : 35) จะเห็นได้ว่าทั้ง มิลล์ และเวเบอร์ (Mills and Weber) ได้กล่าวถึงการใช้ความรุนแรงกับ “อำนาจ” (power) ทั้งในแง่ของอำนาจในทางการเมือง และอำนาจในการปกครองของรัฐ ดังนั้นความรุนแรง (violence) จึงมีขอบเขตครอบคลุมอย่างกว้างขวาง และสลับซับซ้อนมากกว่าความเข้าใจแบบธรรมดา
บทความนี้ต้องการพรรณนาให้เห็นวาทะกรรมข้อโต้เถียงว่าด้วย “อำนาจ ความรุนแรง และสงคราม” โดยเฉพาะความรุนแรงที่เป็นพื้นฐานของทั้งการเมือง อำนาจ และสงคราม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้สนใจ และนักศึกษาวิชาปรัชญาการเมืองมีความเข้าใจปัญหาข้อโต้เถียงเกี่ยวกับความรุนแรง และสงคราม และสามารถนำประเด็นเชิงวิชาการปรัชญาการเมืองไปสู่การวิเคราะห์อภิปราย และสร้างความเข้าใจในวิถีความเป็นไป ความเคลื่อนไหวของการเมืองระหว่างประเทศการเมืองโลก และการสร้างความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงในสังคมการเมืองไทย เพื่อความสะดวกจะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก เป็นการนำเสนอปัญหาข้อถกเถียงว่าด้วยความรุนแรง และสงครามตามผลงานของ ฮาน์น่า อาร์เร็นดท์ (Hannah Arendt) ใน “On Violence” (1970) ฟรานซ์ ฟานอน (Frantz Fanon) ใน “Excerpt from ‘Concerning Violence’ The Wretched of the Earth” (1999) และ คาร์ล ฟอน คลอสซ์วิทซ์ (Carl Von Clausewitz) ใน “On War” (1984) และผลงานของนักวิชาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงและสงคราม เป็นต้น ส่วนที่สอง การวิเคราะห์อภิปรายและการตีความประเด็นสำคัญในเชิงวิชาการ กับเหตุการณ์ร่วมสมัย และส่วนที่สาม เป็นการวิจารณ์ อภิปรายความรุนแรง และสงครามในสังคมการเมืองไทยร่วมสมัย
ส่วนแรก : ปัญหาและข้อถกเถียงสำคัญเกี่ยวกับความรุนแรงและสงคราม
แม้ปัจจุบันโลกจะย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 (ค.ศ.2007) แต่เลนิน (Lenin) เคยคาดการณ์เอาไว้ว่าศตวรรษที่ 20 เป็นศตวรรษแห่งสงคราม และการปฏิวัติ (a century of wars and revolution) ด้วยเหตุนี้จึงเป็นศตวรรษของความรุนแรง (violence) พัฒนาการของความรุนแรงได้มาถึงจุดที่ไม่มีเป้าหมายทางการเมืองใดที่จะสามารถรับมือกับอำนาจการทำลายล้างในยุคนี้ หรือจะสามารถอ้างเหตุผลในปฏิบัติการที่ต้องใช้กำลังอาวุธได้ ด้วยเหตุนี้ “การทำสงคราม” (warfare) ที่ในอดีตถือว่าเป็นเครื่องมือที่ไร้ความปราณีขั้นสุดท้ายในปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ปัจจุบันได้สูญเสียประสิทธิผล และเสน่ห์ไปเกือบหมดสิ้น กลายเป็นเกมหมากรุกระหว่างมหาอำนาจ ระหว่างผู้ซึ่งต้องการไปถึงจุดสูงสุดของอารยะธรรม (the highest plane of our civilization) โดยที่เกมจะดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ที่ว่า “หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะก็ถือว่าเป็นการสิ้นสุดของทั้งสองฝ่าย” (Hannah Arendt, 1970 : 3) เป็นเกมที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่าเกมสงคราม (war games) ทั้งนี้เพราะเป้าหมายก็คือ การสร้างอุปสรรคกีดขวาง (deterrence) ไม่ใช่ชัยชนะ หรือการแข่งขันด้านอาวุธ หากสร้างอุปสรรคกีดขวางมากขึ้นเพียงใดสันติภาพก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
คำว่า “ความรุนแรง” (violence) แตกต่างไปจาก “อำนาจ” (power) “กำลัง” (force) และ “ความแข็งแกร่ง” (strength) อยู่ที่ต้องอาศัยการนำไปปฏิบัติ (implements) ซึ่งการปฏิวัติทางเทคโนโลยีและการสร้างเครื่องมืออาวุธมักจะนำไปสู่การทำสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รูปแบบเนื้อหาของความรุนแรงมักจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย-วิธีการ (means-end category) ซึ่งลักษณะสำคัญหากประยุกต์เข้ากับกิจกรรมของมนุษย์แล้วมักจะเป็นกรณีที่เป้าหมายตกอยู่ในท่ามกลางวิธีการที่หลากหลาย และเนื่องจากเป้าหมายในกิจกรรมของมนุษย์ไม่สามารถคาดคะเนได้อย่างถูกต้องแน่นอน ซึ่งแตกต่างไปจากผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายในการประดิษฐ์ของมนุษย์ ดังนั้นวิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองจึงมักจะมีมากกว่าโลกแห่งความเป็นจริง และมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งใจอยู่เสมอ ซึ่งในขณะที่ผลลัพธ์ของการกระทำอยู่เหนือการควบคุมของผู้กระทำ ด้วยเหตุนี้ความรุนแรง (violence) จึงเกิดขึ้นตามมา นอกจากนั้นความรุนแรงยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดหมายได้ที่เรียกว่า “เหตุการณ์บังเอิญ” (random event) ในลักษณะข้อสงสัยเชิงวิทยาศาสตร์ ด้วยข้อสงสัยไม่สามารถถูกขจัดออกไปได้เหมือนเหตุการณ์จำลอง (simulation) ฉากภาพยนตร์ (scenario) หรือทฤษฎีเกม(game theories) ซึ่งความไม่แน่นอนเหล่านี้แม้แต่ความแน่นอนในความเสียหายภายใต้สถานการณ์ที่คำนวณได้
ไม่มีบุคคลใดในทางประวัติศาสตร์การเมืองจะสามารถมองข้ามบทบาทความสำคัญของความรุนแรง (violence)ที่ให้บทเรียนแก่มนุษย์ แต่เมื่อมองเพียงผ่าน ๆ กลับเป็นเรื่องน่าตกใจว่า “ความรุนแรง” (violence) เป็นเรื่องที่มักจะไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร ดังนั้นบุคคลผู้ซึ่งมองข้ามปัญหาความรุนแรงมักจะพิจารณาแต่เพียงว่ามันเป็นไปตามยถากรรม ไม่ถูกต้อง และไม่มีอะไรพูดอีกไม่ว่าความรุนแรง หรือประวัติศาสตร์ การที่คลอสซ์วิทซ์ (Clausewitz) เรียกสงครามว่า “ความต่อเนื่องทางการเมืองในรูปแบบหนึ่ง” หรือ เองเจลส์ (Engels) นิยาม “ความรุนแรง” ว่าเป็นตัวเร่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ต้องการเน้นก็คือความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจ และการเมืองตั้งอยู่บนความต่อเนื่องของกระบวนการที่ยังคงถูกกำหนดโดยความรุนแรงที่ดำเนินอยู่ (Hannah Arendt, 1970 : 8)
จะเห็นได้ว่าความรุนแรง (violence) เกี่ยวข้องกับการใช้กำลัง (force) และสงคราม (war) อยู่เสมอ คาร์ล ฟอน คลอสวิทซ์ (Carl von Clausewitz) ให้นิยาม “สงคราม” (war) ว่าคือการใช้กำลังเพื่อบังคับให้ศัตรูทำตามสิ่งที่เราต้องการ (Carl von Clausewitz, 1984 : 83) และกำลัง (force) ถือว่าเป็นเครื่องมือของสงคราม (the mean of war) ส่วนการบังคับให้ศัตรูทำตามความปรารถนาของเราคือวัตถุที่ต้องการ (object) ซึ่งในทางทฤษฎีถือว่าเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของสงคราม ส่วนการใช้กำลังปกป้องวัตถุที่ต้องการ (object) จะต้องทำให้ศัตรูไร้พลังอำนาจ (powerless) ซึ่งจุดมุ่งหมายนี้กลับเข้าไปแทนที่วัตถุที่ต้องการ ซึ่งมิใช่สงครามที่แท้จริง (Clausewitz, 1984 : 83)
คำถามต่อมาก็คือสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างชนชาติที่มีอารยะธรรม (civilized nations) มีความโหดร้ายและทำลายล้างน้อยกว่าสงครามระหว่างพวกคนดิบ (savages) หรือไม่ ? สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาก็คือสภาวะเงื่อนไขทางสังคมของรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสงคราม และเป็นตัวเพิ่มหรือลดความรุนแรงได้ สำหรับสิ่งจูงใจที่ทำให้มนุษย์ทำสงครามกันมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ (1) ความรู้สึกเป็นศัตรูกัน และ (2) ความตั้งใจที่จะเป็นศัตรูกัน ซึ่งนิยามประการหลังนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการศึกษาวิจัย และมีความเป็น “สากล” (universal) มากกว่า ทั้งนี้ความเจริญก้าวหน้า และความมีอารยะธรรมของมนุษย์มิได้ทำให้มนุษย์ลดความรุนแรงลง และหยุดการทำสงคราม แต่กลับมีวิวัฒนาการก้าวหน้าตามลำดับ สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ การประดิษฐ์ดินปืน และการพัฒนาอาวุธในการทำลายล้างกันมากขึ้น กล่าวได้ว่า “สงคราม” (war) คือการใช้กำลังที่ไม่มีขีดจำกัดของเหตุผล โดยที่แต่ละฝ่ายจะบังคับศัตรูให้กระทำตามความต้องการ และมีปฏิกิริยาโต้ตอบซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความสุดขั้วในเชิงทฤษฎี
ในปัจจุบันความเชื่อถือเก่าๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสงคราม กับการเมือง หรือระหว่างความรุนแรง กับอำนาจ เป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลลัพธ์มิใช่สันติภาพ แต่กลายเป็นสงครามเย็น (the Cold War) และก่อให้เกิดความสลับซับซ้อนในอุตสาหกรรมด้านการทหาร เหมือนที่นักฟิสิกส์ชาวรัสเซียชื่อ ซาคารอฟ (Sakharov) เคยกล่าวเอาไว้ว่าสงครามเทอร์โมนิวเคลียร์ (thermonuclear war) มิใช่ความต่อเนื่องทางการเมืองในอีกความหมายหนึ่ง (ตามทัศนะของ Clausewitz) แต่เป็นวิธีการทำอัตตนิบาตกรรมของโลก (the universal suicide) (Clausewitz, 1984 : 9-10)
นอกจากนั้นความจริงที่ว่าอาวุธเพียงเล็กน้อยสามารถทำลายพลังอำนาจของชาติทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นอาวุธชีวะภาพที่ถูกติดตั้งขึ้นจะทำให้กลุ่มคนเล็ก ๆ สามารถสร้างปัญหาให้กับดุลยภาพทางยุทธศาสตร์ได้ อาวุธมหาประลัยเหล่านี้มีราคาถูกพอที่จะผลิตได้โดยประเทศที่ไม่สามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งภายในไม่กี่ปีอาวุธที่เปรียบเสมือน “ทหารหุ่นยนต์” (robot soldiers) ก็จะทำให้ทหารมนุษย์ที่แท้จริงล้าสมัยไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นขนาดความรุนแรงที่ประเทศหนึ่งๆ สามารถกระทำอาจจะไม่ใช่ตัวชี้วัดความเข้มแข็งของประเทศ หรือเป็นหลักประกันที่จะใช้ตอบโต้การทำลายล้างโดยอำนาจที่อ่อนแอกว่าแต่อย่างใด
สำหรับปัญหาความรุนแรงภายในประเทศ มักจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการปฏิวัติซึ่ง คาร์ล มาร์ก (Karl Marx) มองว่ารัฐเป็นเครื่องมือในการใช้ความรุนแรงของชนชั้นปกครอง (the ruling class) แต่อำนาจของชนชั้นปกครองมิได้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงแต่ขึ้นอยู่กับบทบาทของกระบวนการผลิต (the process of production) เมา เซ ตุง (Mao Tse-tung) กล่าวเอาไว้ว่า “อำนาจเกิดขึ้นจากปากกระบอกปืน” (Power grows out of the barrel of gun) (Clausewitz, 1984 : 11) และจอร์จ ซอเร็ล (George Sorel) มองการต่อสู้ทางชนชั้นว่าเป็นมายาคติของการประท้วงทั่วไป (general strike) อันเป็นรูปแบบของกิจกรรมที่ปัจจุบันเราคิดว่าเป็นการเมืองที่ไม่รุนแรง (nonviolence politics) นอกจากนั้นกิจกรรมการเคลื่อนไหว และการก่อจลาจลของนักศึกษา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก มีความผันแปรหลากหลายอย่างมากระหว่างประเทศ และระหว่างมหาวิทยาลัย สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของปฏิบัติการด้านความรุนแรงเริ่มตั้งแต่ในเยอรมัน และสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของขบวนการคนผิวดำ (the Black Power Movement) ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นกลุ่มผลประโยชน์ตัวแทนของชุมชนผิวดำ (the Negro community) ซึ่งในทางสังคมจิตวิทยา มีความพยายามมองว่าความรุนแรง (violence) เป็นวิธีการเยียวยาการถูกลงโทษรูปแบบหนึ่ง ซึ่งหากเป็นความจริงเช่นนั้น “การแก้แค้น” (revenge) ก็จะกลายเป็นยารักษาโรคทุกชนิด ซึ่งมายาคตินี้ไปไกลกว่าความเป็นจริง ทำให้นึกถึงสำนวนของฟรานซ์ ฟานอง (Frantz Fanon) ที่ว่า “อดอยากอย่างมีศักดิ์ศรีดีกว่ากินขนมปังในขณะเป็นทาส” (hunger with dignity is preferable to bread eaten in slavery) (Clausewitz, 1984 : 20) ท้ายที่สุดแล้วขบวนการเคลื่อนไหวยุคใหม่ก็ใช้คำขวัญทางการเมืองในเชิงบวกโดยอาศัยข้ออ้างในเรื่อง “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” (participatory democracy) ซึ่งแพร่หลายไปทั่วโลกทั้งตะวันตกและตะวันออก นำไปสู่การเติบโตของการปฏิวัตินับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตามความคิดเรื่องขบวนการเคลื่อนไหว และความรุนแรงในศตวรรษนี้ (20-21) ถูกนำไปศึกษาเปรียบเทียบกับลัทธิอุดมการณ์ในแนวคิดเรื่อง “ความก้าวหน้า” (Progress) ซึ่งข้ออ้างเกี่ยวกับความก้าวหน้าของมนุษยชาติทั้งหมดยังไม่เป็นที่รับรู้เข้าใจในช่วงก่อนศตวรรษที่ 17 พัฒนามาสู่ความคิดร่วมกันในระหว่างศตวรรษที่ 18 และกลายเป็นความเชื่อที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากลในศตวรรษที่ 19 ซึ่งความก้าวหน้าอาจจะอธิบายได้ในรูปของ “กฎของการเคลื่อนไหวที่ไม่มีที่สิ้นสุด” (the laws of movement alone are eternal) โดยที่การเคลื่อนไหวไม่มีจุดเริ่มต้น หรือจุดสิ้นสุด เหมือนกับที่ทุกคนพูดว่า “เราเกิดมาอย่างสมบูรณ์ แต่เรายังไม่เคยสมบูรณ์” (we are born perfectable, but we shall never be perfect)(Clausewitz, 1984 : 26) คำว่า “ความก้าวหน้า” (Progress) เป็นคำที่มีความหมายสลับซับซ้อน และสำคัญมากยิ่งขึ้นที่ถูกนำเสนอในลักษณะของความนิยมชมชอบในยุคสมัยของเรา ความเชื่อในศตวรรษที่ 19 ที่ไร้เหตุผลเกี่ยวกับความก้าวหน้าที่ไม่มีขีดจำกัด (unlimited progress) ก่อให้เกิดการยอมรับอย่างเป็นสากลอันเนื่องมาจากการพัฒนาอย่างน่าตกใจของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (the natural science) ตั้งแต่การเกิดขึ้นของยุคใหม่ (the modern age) นำไปสู่งานภารกิจการค้นคว้าที่กว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สำหรับการเปรียบเทียบ “ความรุนแรง” (Violence) กับ “อำนาจ” (Power) เริ่มต้นจากคำถามที่ว่า “หากปราศจากความรุนแรงในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐแล้ว จะทำให้อำนาจสิ้นสุดลงหรือไม่” คำตอบย่อมขึ้นอยู่กับความเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจ (Power) และอำนาจคือเครื่องมือของการปกครอง (an instrument of rule) ในขณะที่การปกครอง (rule) ขึ้นอยู่กับการดำรงอยู่ของสัญชาติญาณการกดขี่ครอบงำ (the instinct of domination) (Clausewitz, 1984 : 36) อำนาจในทัศนะของวอลแตร์ (Voltaire) ประกอบไปด้วย “การทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามความต้องการของเรา” ส่วนแม็ก เวเบอร์ (Max Weber) เห็นว่าเป็น “การยืนยันถึงความปรารถนาของเราพร้อม ๆกับการต่อต้านของผู้อื่น” ทำให้นึกถึงคำนิยาม “สงคราม” ของคลอสวิทซ์ (Clausewitz) ที่ว่าสงครามคือ “ปฏิบัติการของความรุนแรงในการบังคับให้ผู้อื่นทำตามความต้องการของเรา” (Clausewitz, 1984 : 36) ส่วน สเตราซ์ ฮูป (Strausz-Hupe) ให้ความหมายว่า “อำนาจของมนุษย์ที่มีเหนือมนุษย์” (the power of man over man) และ เบอร์ตรอง เดอ จัววองนอง (Bertrand de Jouvenel) ในหนังสือ “Power” กล่าวว่า “หากปราศจากการบังคับบัญชา และการเชื่อฟังก็ไม่มีอำนาจ” (To command and to be obeyed : without that, there is not Power) (Clausewitz, 1984 : 36-37) กล่าวโดยสรุป หัวใจสำคัญของอำนาจก็คือผลสำเร็จของการบังคับบัญชา ดังนั้นจึงไม่มีอำนาจใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าอำนาจากปากกระบอกปืน (the barrel of a gun) ปัญหาต่อมาก็คือ “คำสั่งที่มาจากตำรวจแตกต่างไปจากคำสั่งที่มาจากปืนอย่างไร” ด้วยเหตุนี้เราต้องหันไปพิจารณาว่า “อำนาจ” (Power) แตกต่างไปจาก “กำลัง” (force) หรือไม่อย่างไร เพื่อให้เข้าใจถึงความจริงในการใช้กำลังตามกฎหมาย ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงคุณภาพของกำลัง (force)ในตัวของมันเอง และทำให้เราได้ทราบถึงความแตกต่างในความสัมพันธ์ของมนุษย์
“อำนาจ” (power) ในทัศนะของพาสเซอแรง เดอ อองแตรวอง (Passerin d’ Entreves) หมายถึง กำลัง (force) ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม หรือมีความเป็นสถาบัน (qualified or institutionalized force) ในขณะที่คลอสวิทซ์ (Clausewitz) ให้ความหมายของ “ความรุนแรง” (violence) ว่าเป็นการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งของอำนาจ แต่ในแนวคิดทางการเมืองคำนิยามเหล่านี้มีข้อโต้แย้งอย่างมาก ไม่เพียงแต่มันเป็นเหตุผลข้ออ้างที่มาจากอำนาจเด็ดขาด (absolutely power) ซึ่งเกิดพร้อม ๆ กับการเกิดขึ้นของรัฐชาติที่มีอธิปไตยในยุโรปครั้งแรกในศตวรรษที่ 16 โดยชอง โบแดง (Jean Bodin) ของฝรั่งเศส และโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ของงอังกฤษในศตวรรษที่ 17 โดยเห็นตรงกันในคำศัพท์ภาษากรีก (Greek) ซึ่งนิยามรูปแบบของการปกครอง (รัฐบาล) ว่าเป็นการปกครองของมนุษย์ที่อยู่เหนือมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นคนเดียว หรือกลุ่มคนในรูปแบบประชาธิปไตย และคณาธิปไตย หรือจำนวนมากในรูปแบบอภิชนาธิปไตย และประชาธิปไตย (Clausewitz, 1984 : 38) ส่วนในทัศนะของจอห์น สจ็วต มิลล์ (J.S.Mill) เห็นว่าแนวคิดเกี่ยวกับการบังคับบัญชา (command) และการเชื่อฟัง (obedience) เกิดมาจากความโน้มเอียง 2 ประการได้แก่ (Clausewitz, 1984 : 39) (1) ความปรารถนาที่จะแสดงออกในอำนาจเหนือผู้อื่น และ (2) การไม่อยากให้ผู้อื่นมาแสดงอำนาจเหนือตนเอง ซึ่งหากเราเชื่อตามที่กล่าวมาข้างต้น เราควรจะรู้ว่าสัญชาติญาณของการยอมรับ หรือความปรารถนาที่จะเชื่อฟัง และถูกปกครองโดยคนที่แข็งแรงเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์ เท่า ๆ กับความปรารถนาที่จะมีอำนาจโดยเฉพาะในทางการเมือง ต่อมาในยุคของการปกครองแบบนครรัฐ (state) และสาธารณรัฐ (a republic) ก่อให้เกิดการปกครองภายใต้กฎหมาย (the rule of law) ซึ่งขึ้นอยู่กับอำนาจของประชาชน ทำให้กฎเกณฑ์การปกครองของมนุษย์เหนือมนุษย์ (the rule of man over man) สิ้นสุดลงเพราะกฎเกณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นการปกครองที่เหมาะสมกับทาส (government fit for slaves) สำหรับรูปแบบที่สุดขั้วของอำนาจคือ “ทั้งหมดกระทำต่อหนึ่ง” (All against One) ส่วนความสุดขั้วของความรุนแรงคือ “หนึ่งกระทำต่อทั้งหมด” (One against All) ซึ่งในกรณีหลังจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ใช้อาวุธ ยกตัวอย่างกรณีคนกลุ่มน้อยที่ไม่มีอาวุธกลุ่มเล็ก ๆ ประสบความสำเร็จในการประท้วงด้วยวิธีการใช้ความรุนแรง ได้แก่ การตะโกน การทะเลาะวิวาท ฯลฯ
น่าเสียดายที่สถานการณ์ปัจจุบันในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ การกำหนดความหมายของคำ (Terminology) มิได้ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างคำศัพท์สำคัญ เช่น “อำนาจ” (power) “ความแข็งแกร่ง” (strength) “กำลัง” (force) “อำนาจหน้าที่” (authority) และ “ความรุนแรง” (violence) การใช้คำเหล่านี้ให้มีความหมายเหมือนกัน (synonyms) ไม่เพียงแต่จะชี้ให้เห็นถึงความมืดบอดในความจริง (the realities) ที่พวกเขามองข้ามไปแล้ว ความแตกต่างของคำเหล่านี้ยังชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจของบุคคลในแง่ที่ว่า “ใครปกครองใคร” และสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการ (mean) ที่มนุษย์ใช้ปกครองมนุษย์ (Clausewitz, 1984 : 43) ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจความหมาย และลักษณะสำคัญของคำเหล่านี้ในเชิงเปรียบเทียบดังต่อไปนี้ (Clausewitz, 1984 : 44)
(1) คำว่า “อำนาจ” (Power) ไม่ได้หมายถึงอำนาจของมนุษย์ที่จะกระทำ แต่เป็นการกระทำในรูปแบบองค์คณะ (in the concert) อำนาจมิได้เป็นคุณสมบัติส่วนบุคคล แต่เป็นของกลุ่ม และยังคงดำรงอยู่ตราบเท่าที่กลุ่มยังคงรวมตัวกันอยู่ได้ เมื่อเรากล่าวว่าบางคน “มีอำนาจ” (in power) เราหมายถึง การมีอำนาจของเขาโดยการยอมรับของคนกลุ่มหนึ่งให้กระทำ (ปฏิบัติ) ในนามของพวกเขา ดังนั้นหากปราศจากกลุ่ม “อำนาจ” (power) ก็จะสูญสิ้นไปด้วย และเมื่อเราพูดว่า “ผู้ทรงอำนาจ” (powerful man) เราหมายถึงการใช้คำว่า“อำนาจ”ในเชิงอุปมาอุปมัยเท่านั้น
(2) คำว่า “ความแข็งแกร่ง” (strength) มีลักษณะเป็นเอกพจน์ (singular) และสิทธิอำนาจเชิงปัจเจกบุคคล เป็นคุณสมบัติที่ติดตัวอยู่ในวัตถุหรือบุคคล ซึ่งจะสามารถพิสูจน์ตัวมันเองได้ในความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น หรือบุคคลอื่น แต่ในลักษณะที่เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้
(3) คำว่า “กำลังหรือพลัง” (Force) มักจะถูกใช้ในความหมายเดียวกับ “ความรุนแรง” (violence) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากความรุนแรงถูกใช้ในความหมายของ “การใช้กำลังบังคับ” (coercion) ในความหมายของคำศัพท์ ในแง่ของ “พลังของธรรมชาติ” หรือ “พลังของสภาพแวดล้อม” หมายถึง พลังงานที่ถูกปล่อยออกมาโดยแรงขับเคลื่อนทางกายภาพ หรือสังคม
(4) คำว่า “อำนาจหน้าที่” (Authority) เป็นคำที่มักจะถูกใช้ในเชิงลบ (abused) บ่อยครั้งที่สุด และยึดติดอยู่กับตัวบุคคล ตัวอย่างเช่น อำนาจหน้าที่ส่วนบุคคล (a personal authority) ในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ระหว่างครูกับนักเรียน เป็นต้น และที่สำคัญอำนาจหน้าที่มักดำรงในสำนักงาน หรือหน่วยงาน (office) มันเป็นตราเครื่องหมายที่ได้รับการยอมรับโดยไม่ตั้งคำถามจากบุคคลที่ถูกสั่งให้เชื่อฟัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับ (coercion) หรือการชักจูง (persuasion) แต่อย่างใด ซึ่งในการดำรงรักษาอำนาจหน้าที่ (authority) ไว้จำเป็นต้องอาศัยการเคารพเชื่อฟังจากบุคคล และหน่วยงาน ส่วนศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของอำนาจก็คือ การดูถูกเหยียดหยาม (contempt) และผู้หัวเราะเยาะ (laughter)
(5) คำว่า “ความรุนแรง” (violence) มีความแตกต่างออกไปในคุณลักษณะที่ต้องอาศัยเครื่องมือ ในทางปฏิบัติแล้วมีความใกล้ชิดกับความแข็งแกร่ง (strength) เพราะอาศัยปฏิบัติการของความรุนแรงเช่นเดียวกับเครื่องมืออื่น ๆ ที่ถูกออกแบบ และใช้เพื่อจุดมุ่งหมายในการเพิ่มพูนความเข้มแข็ง ซึ่งในขั้นสุดท้ายของพัฒนาการ “ความรุนแรง” ก็จะสามารถไปแทนที่ได้ “ความรุนแรง” (violence) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอำนาจ (power) ความจริงอำนาจไม่มีอะไรเลยนอกจากด้านหน้านวมกำมะหยี่ที่แสดงให้เห็นถึงมือเหล็ก หรืออาจจะกลายเป็นเสือกระดาษ (the iron hand or a paper tiger) ในการทดสอบระหว่างความรุนแรงกับความรุนแรงนั้น (violence against violence) ถือว่าความเหนือกว่าของรัฐบาล (the superiority of government) มีความเด็ดขาดสมบูรณ์ แต่ความเหนือกว่าของรัฐบาลดังกล่าวจะยังคงดำรงอยู่ตราบเท่าที่โครงสร้างอำนาจของรัฐบาลยังคงทำงาน ตราบเท่าที่คำสั่งบังคับบัญชายังได้รับการเชื่อฟังยินยอม หรือกำลังทหาร และตำรวจยังคงเตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธ หากเมื่อสิ่งเหล่านี้สิ้นสุดลง สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปทันที
ไม่มีรัฐบาลใดที่ใช้ความรุนแรงแต่เพียงอย่างเดียวจะดำรงอยู่ได้ แม้แต่ผู้ปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (the totalitarian ruler) ที่ใช้วิธีการทรมาน(torture) เป็นเครื่องมือในการปกครองก็จำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานของอำนาจ เช่น ตำรวจลับ หรือเครือข่ายสายลับ เป็นต้น การพัฒนาทหารหุ่นยนต์เท่านั้นที่จะเป็นตัวกำจัดปัจจัยด้านตัวมนุษย์ออกไปอย่างสมบูรณ์ และจะทำให้มนุษย์คนหนึ่งสามารถมีเครื่องมือกดปุ่มที่จะใช้ทำลายใครก็ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอำนาจที่เพิ่มขึ้นเหนือความรุนแรง เพราะลำพังมนุษย์เพียงคนเดียวโดยไม่มีผู้อื่นช่วยเหลือจะไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะใช้ความรุนแรงได้อย่างประสบความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีสงครามเวียตนาม (Vietnam War) แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี และความเหนือกว่าในวิธีการของความรุนแรงกลับกลับเป็นสิ่งไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญกับศัตรูที่แม้ขาดแคลนอาวุธแต่มีการจัดองค์กรเป็นอย่างดี และมีอำนาจมากกว่า โดยสรุป อำนาจ (power) คือหัวใจสำคัญของทุกรัฐบาล แต่ความรุนแรง (violence) ไม่ใช่อำนาจ แต่เป็นเพียงเครื่องมือโดยธรรมชาติ เหมือนเครื่องมืออื่น ๆ
อำนาจ (power) และความรุนแรง (violence) แม้ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่แตกต่างกัน แต่มักจะปรากฏให้เห็นควบคู่กันอยู่เสมอ และเมื่อมันรวมตัวกันเมื่อใด อำนาจ (power) จะเป็นตัวหลัก และเป็นปัจจัยที่มีบทบาทเหนือกว่า อย่างไรก็ตาม สถานการณ์จะแตกต่างออกไปทันทีเมื่อเราพิจารณาถึงรัฐบริสุทธิ์ที่ถูกครองงำ และรุกรานโดยรัฐต่างชาติ เราจะเห็นว่าสมการของความรุนแรงกับอำนาจขึ้นอยู่กับความเข้าใจของรัฐบาลในฐานะผู้มีอำนาจเหนือกว่าของมนุษย์ต่อมนุษย์โดยวิธีการใช้ความรุนแรง ซึ่งถ้าหากต่างชาติผู้รุกรานเผชิญหน้ากับรัฐบาลที่ไม่มีกำลังแล้ว อำนาจก็จะง่ายในการครอบงำ แต่ในกรณีอื่นๆ ปัญหาอุปสรรคก็จะเกิดขึ้นอย่างมาก โดยต่างชาติผู้รุกรานจะพยายามจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด (Quisling government) โดยแสวงหาฐานอำนาจของท้องถิ่นพื้นเมืองมาสนับสนุนการปกครองของตน ตัวอย่างที่ชัดเจนกว่าก็คือ การปะทะกันตัวต่อตัวระหว่างรถถังรัสเซียกับกลุ่มต่อต้านที่ไม่มีอาวุธชาวเช็คโกสโลวะเกีย ถือเป็นกรณีตัวอย่างในแบบเรียนกรณีการเผชิญหน้ากันระหว่างความรุนแรง กับ อำนาจในรัฐที่บริสุทธิ์ ซึ่งการครอบงำในกรณีนี้ยากที่จะประสบความสำเร็จ ความรุนแรงไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับจำนวน (number) หรือความคิดเห็น (opinion) แต่ขึ้นอยู่กับการลงมือปฏิบัติ (implement) และการปฏิบัติความรุนแรงก็เหมือนกับเครื่องมือชนิดอื่นๆ ในการเพิ่มพูนความเข้มแข็งของมนุษย์ สำหรับผู้ที่ปฏิเสธความรุนแรง (violence) โดยการใช้แต่อำนาจ (power) แต่เพียงอย่างเดียว ในที่สุดเขาก็จะพบว่า เขาไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์ แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับวัตถุสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ของการทำลายล้าง และความไร้มนุษยธรรมก็จะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากับระยะทางที่ห่างจากศัตรู (ความร้ายกาจของอาวุธ)
ความรุนแรง (violence) ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับความน่าสะพรึงกลัว (Terror) ซึ่งมิใช่สิ่งเดียวกัน แต่มักจะเป็นรูปแบบของการปกครอง หรือรัฐบาล (a form of government) ซึ่งนำไปสู่การใช้ความรุนแรงในการทำลายล้างอำนาจทุกอย่างโดยไม่หยุด ประสิทธิผลของความน่าสะพรึงกลัวขึ้นอยู่กับระดับของการสร้างความเป็นเนื้อเดียวกันกับสังคม (social atomization) โดยจะแทรกซึมเข้าไปอยู่ในส่วนย่อย ๆ ของสังคมผ่านสายลับ (the informer) ที่เข้าไปแทรกอยู่ในทุก ๆ เรื่อง ความแตกต่างระหว่าง “อำนาจเบ็ดเสร็จ” (totalitarianism) ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความกลัว กับ ความเป็นทรราชย์ (tyrannies) และความเป็นเผด็จการ (dictatorships) ที่เกิดขึ้นโดยใช้ความรุนแรงก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “อำนาจเบ็ดเสร็จ” (totalitarianism) ไม่เพียงแต่กระทำต่อศัตรูเท่านั้น แต่ยังกระทำต่อเพื่อน และผู้สนับสนุนอีกด้วย ซึ่งจุดสุดยอดความน่าสะพรึงกลัวจะเกิดขึ้นเมื่อรัฐตำรวจเริ่มต้นกลืนกินเด็ก ๆ ลูกหลานของตนเอง และมือสังหารเมื่อวันก่อนกลับกลายเป็นเหยื่อ (victim)ในวันนี้ (Clausewitz, 1984 : 55)
ในประเด็นเรื่อง “ความก้าวร้าว” (Aggressiveness) ที่ถือว่าเป็นความรุนแรง (violence) รูปแบบหนึ่ง และมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ใหม่ว่า “Polemology” คลอสวิทซ์ (Clausewitz) เห็นว่ามีข้อโต้ถียง 2 ประการในการตอบคำถามถึงที่มาในความก้าวร้าวของมนุษย์ดังนี้ (Clausewitz, 1984 : 59)
(1) เกิดมาจากความล้มเหลวที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของมนุษย์กับสัญชาตญาณในเรื่อง “ลัทธิเขตแดนของกลุ่ม” ในสัตว์ชนิดอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม คลอสวิทซ์ (Clausewitz) กลับรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าสัตว์บางชนิดมีพฤติกรรมเหมือนมนุษย์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะให้เหตุผล หรือจะตำหนิพฤติกรรมของมนุษย์ได้อย่างไร และไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมักจะได้ยินคนกล่าวว่า “ให้จำไว้ว่าคน ๆ นั้นมีพฤติกรรมเหมือนสัตว์ที่อยู่เป็นฝูง” (Clausewitz, 1984 : 59)
(2) เกิดมาจากผลงานวิจัยทั้งทางสังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมความ
รุนแรงเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ (natural reaction) มากกว่าความตั้งใจ หรือเตรียมการให้เกิดขึ้น
“ความก้าวร้าว” หมายถึง แรงขับตามสัญชาติญาณ (instinctual drive) ซึ่งแสดงบทบาทเชิงหน้าที่ตามธรรมชาติในสัญชาติญาณการเจริญพันธุ์ และเรื่องเพศ แต่ที่ไม่เหมือนกับสัญชาติญาณเหล่านี้ที่ถูกกระตุ้นจากความจำเป็นทางด้านร่างกาย หรือตัวเร้าภายนอก สัญชาติญาณความก้าวร้าวในสัตว์เป็นอิสระจากแรงกระตุ้น ตรงกันข้ามหากขาดแรงกระตุ้นก็จะนำไปสู่อาการหงุดหงิด ซึ่งความก้าวร้าวเก็บกดจะทำให้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น และระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก ในความหมายนี้ ความรุนแรงโดยพื้นฐานมีหน้าที่ในการดูแลรักษาตัวเอง จึงนำไปสู่ข้ออ้างที่ว่าทำไมมนุษย์จึงมีความเลวร้ายกว่าสัตว์ เพราะมนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลเหนือกว่าสัตว์ที่มีแต่เพียงสัญชาติญาณ และมนุษย์สามารถสร้างเครื่องมือ หรืออาวุธที่มีพิสัยไกลซึ่งทำให้เขาเป็นอิสระจากข้อจำกัดทางธรรมชาติที่เราพบในบรรดาสัตว์อื่น ซึ่งการประดิษฐ์เครื่องมือเป็นกิจกรรมด้านจิตใจ และสติปัญญาที่มีความสลับซับซ้อนสูง
นอกจากความรุนแรงกับประเด็นปัญหาทางสังคมการเมืองที่กล่าวถึงมาทั้งหมดตั้งแต่ประเด็นสงคราม (War) การเมือง (Politics) อำนาจ (Power) ขบวนการเคลื่อนไหว (Movement) ความก้าวหน้า (Progress) และความก้าวร้าว (Aggressiveness) ข้างต้นแล้ว มิติการเมืองระหว่างประเทศยังมีความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในหมู่ประเทศอาณานิคม (Colonized Countries) ทั้งในระหว่างตกเป็นอาณานิคม ของประเทศมหาอำนาจตะวันตก และหลังจากหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคม (Decolonization) แล้ว ดังกล่าวถึงผลงานของ ฟรานซ์ ฟาน็อง (Frantz Fanon) ที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนในประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม
การหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมมีความรุนแรงเสมอ ไม่ว่าจะศึกษาในระดับใด เช่น ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ชื่อใหม่ของสโมสรกีฬา การชุมนุมของคนที่หลากหลายในงานค็อกเทลปาร์ตี้ ในสถานีตำรวจ หรือบนป้ายประกาศของธนาคารชาติ และธนาคารเอกชน การพ้นจากอาณานิคมที่แท้จริงก็คือ “การแทนที่ของมนุษย์สายพันธุ์หนึ่งด้วยมนุษย์อีกสายพันธุ์หนึ่งนั่นเอง” (Frantz Fanon, 1999 : 157)
จากคำกล่าวข้างต้นย่อมแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนผ่านจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งย่อมก่อให้เกิดการสูญเสีย ความเจ็บปวด และทนทุกข์ทรมาน ซึ่งอาจจำแนกได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิตที่ถูกบังคับฝืนใจ และระดับการเปลี่ยนแปลงด้านการปกครอง และตัวผู้ปกครอง โลกแห่งอาณานิคมคือโลกของการถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของชาวพื้นเมือง (a native quarter) และส่วนของชาวยุโรป (European quarter) ตัวอย่างเช่น โรงเรียนของชาวพื้นเมือง และโรงเรียนสำหรับชาวยุโรป ซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการเหยียดสีผิว (Apartheid)ในประเทศแอฟริกาใต้ หากเราศึกษาระบบนี้อย่างใกล้ชิดจะเห็นเส้นแบ่งของพลังอำนาจที่ถูกนำมาใช้ ซึ่งเขตแดนระหว่างชาวพื้นเมือง และเจ้าอาณานิคมอยู่ที่โรงทหาร และสถานีตำรวจ ส่งผลให้การใช้กำลังอำนาจรัฐในเชิงกดขี่มีความแตกต่างกันระหว่างประเทศทุนนิยม กับ ประเทศอาณานิคมจะมีการใช้กำลังทหาร และตำรวจในการบังคับกดขี่ประชาชนให้ยินยอมและปฏิบัติตาม
ในการแบ่งแยกโลกอาณานิคมออกเป็น 2 ส่วนนั้น ส่วนของชาวยุโรป หรือผู้เข้าครองครองจะเต็มไปด้วยความเจริญก้าวหน้า หรูหรา สะดวกสบาย มีระดับ และรสนิยม ทั้งในแง่ของโครงสร้างทางถาวรวัตถุ อาคารสถานที่ และวิถีชีวิตทั้งหมด ตรงกันข้ามกับส่วนที่เป็นของชาวพื้นเมือง จะเต็มไปด้วยลักษณะของความด้อยพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ได้แก่ ความยากจน ล้าหลัง อดอยาก และสกปรก อาชญากรรม แหล่งเสื่อมโทรม ยาเสพติด และโสเภณี เป็นต้น
เมื่อเราศึกษาบริบทของส่วนที่เป็นอาณานิคมอย่างใกล้ชิดจะพบว่า สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นโลกของพวกอาณานิคมเริ่มต้นจากความจริงเกี่ยวกับการเป็น หรือไม่เป็นของเชื้อชาติ หรือสายพันธุ์ที่กำหนดเอาไว้ ในโลกอาณานิคมโครงสร้างส่วนย่อยทางเศรษฐกิจ ก็คือโครงสร้างใหญ่ จึงมีคำกล่าวที่ว่า “คุณร่ำรวยเพราะคุณเป็นคนผิวขาว และคุณเป็นคนขาวเพราะคุณร่ำรวย” (Frantz Fanon, 1999 : 159) ด้วยเหตุนี้ในการวิเคราะห์แบบมาร์กซิสม์ (Marxism) จึงควรขยายความให้ชัดเจนเสียก่อนที่จะศึกษาปัญหาอาณานิคม รวมทั้งการศึกษาสังคมก่อนทุนนิยม (pre-capitalist society) การอ้างถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ (divine right) มีความจำเป็นต่อการอ้างความชอบธรรมในการปกครอง และความแตกต่างระหว่างทาส (serf) กับอัศวิน (knight) อีกด้วย
นอกจากนั้นความรุนแรง (violence) ยังเป็นวิธีการที่นำไปใช้ในการปกครอง และสร้างกฎระเบียบเหนือโลกอาณานิคม อันถือว่าเป็นการทำลายรูปแบบสังคมของชาวพื้นเมือง และไม่เป็นการรักษาคุณค่าของระบบเศรษฐกิจ ธรรมเนียมการแต่งกาย และวิถีชีวิต เป็นต้น นอกจากนั้นในแง่ของสังคมวัฒนธรรม ความเชื่อ และค่านิยม ของโลกคนพื้นเมืองที่อยู่ใต้อาณานิคมยังถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ไม่มีอารยะธรรม งมงาย และชั่วร้าย เลวทรามอีกด้วย และในที่สุดความเหนือกว่าในเชิงค่านิยมของโลกตะวันตก และของคนผิวขาวในประเทศอาณานิคมที่มีอยู่เหนือวิถีชีวิต และความคิดของชาวพื้นเมือง กลับสร้างความรู้สึกในเชิงเครียดแค้น และเกียจชังในหมู่คนพื้นเมืองหลังสิ้นยุคอาณานิคม
ส่วนที่สอง: การวิเคราะห์อภิปราย และตีความประเด็นปัญหาสำคัญในทางวิชาปรัชญาการเมือง กับเหตุการณ์ทางสังคมการเมืองร่วมสมัย
จากการพรรณนาข้อโต้ถียงประเด็นปัญหา “อำนาจ ความรุนแรง และสงคราม” ในส่วนแรก จะเห็นว่าสงคราม (war) และความรุนแรง (violence) มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเอง และสัมพันธ์กับประเด็นความคิดทางการเมือง (political thought) อื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่อง “อำนาจ” (power) อย่างแยกไม่ออกทั้งนี้เพราะการเมือง (politics) เป็นเรื่องของอำนาจ ความชอบธรรมในการปกครอง และการต่อสู้แข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ และการปกครองเหนือแผ่นดิน และกลุ่ม สำหรับการวิเคราะห์อภิปรายประเด็นปัญหาที่น่าสนใจในการศึกษาปรัชญาการเมือง อาจจะจำแนกให้เห็นทีละประเด็นดังต่อไปนี้
ประเด็นแรก : ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรง และสงคราม ( the relationship between war and violence) เป็นประเด็นที่ควรจะกล่าวถึงเป็นลำดับแรก สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนในความเกี่ยวพันธ์ก็คือ “ความรุนแรง ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นสงครามเสมอไป แต่สงครามทุกครั้งคือการใช้ความรุนแรงเสมอ” (ซึ่งสงครามเย็นก็มีมาตรการด้านความรุนแรงอยู่ด้วย) ดังนั้น ความสัมพันธ์ประการแรก คือ ความรุนแรง (violence) ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม (war) ประการที่สอง ความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันระหว่างสงคราม (war) กับความรุนแรง (violence) ก็คือพื้นฐานที่การใช้กำลัง (force) ซึ่งการใช้กำลังในการกระทำทั้งสองประเภทนี้อาจจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิทธิความชอบธรรม หรือไม่ก็ได้ แต่โดยทั่วไปเรามักจะมีหลักเกณฑ์ หรือกฎในการใช้ความรุนแรง ที่เรียกว่า “ใช้กำลังบังคับตามกฎหมาย” หรือ “ปฏิบัติภายใต้กฎหมาย” หรือ “มีความชอบธรรมในการใช้กำลัง” เป็นต้น แต่ในกรณีสงคราม มักจะเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากสงครามเป็นเรื่องระหว่างประเทศมากกว่าภายในประเทศหรือรัฐเดียวกัน ยกเว้น สงครามกลางเมืองซึ่งมักจะจบลงที่ฝ่ายชนะสามารถอ้างสิทธิความชอบธรรมได้ ประการที่สาม การใช้ความรุนแรง (violence) มักจะมีระดับ (degree) ความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันหลายระดับตั้งแต่รุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงมาก และการใช้มาตรการความรุนแรงก็อาจจะเลือกใช้ได้ตามดุลยพินิจ ตามสถานการณ์ และโอกาสอีกด้วย แต่กรณีสงคราม (war) มักจะเป็นความรุนแรงขั้นสุดท้าย
ดังนั้นในปัญหาของความคิดทางการเมืองควรจะต้องกล่าวถึงประเด็นเรื่องของ “อำนาจความชอบธรรมและความเป็นธรรม” ในการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ซึ่งมาตรการขั้นสุดท้ายคือสงคราม ควรจะหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ซึ่งปัญหาร่วมสมัยที่ควรพิจารณาก็คือ ปัญหาความรุนแรง และสงครามระหว่างอิสราเอล กับปาร์เลสไตน์ รวมถึงปัญหาระหว่างรัฐบาลของประเทศต่างๆกับชนกลุ่มน้อย และกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน รวมทั้งในกรณีของไทย ในปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สถานการณ์ปัจจุบันน่าจะเรียกว่า “สงครามแบ่งแยกดินแดน” มากกว่า “ความไม่สงบ”ทั้งนี้เพราะมีกระบวนการ และการจัดตั้งเชิงสถาบัน รวมทั้งมีเป้าหมายในแง่ของการแบ่งอำนาจอธิปไตยของรัฐ มีการใช้ความรุนแรงติดอาวุธอย่างต่อเนื่องตลอดมา ดังนั้นประเด็นเรื่องสงคราม และความรุนแรง จึงควรนำไปสู่การวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง เพื่อนำไปสู่หนทางวิธีการแก้ไขปัญหาให้เกิดสันติภาพในที่สุด
ประเด็นที่สอง : ปัญหาเรื่องความรุนแรง (violence) กับอำนาจ (power) จะเห็นได้ว่าคำทั้งสองมักจะมีความใกล้ชิดกัน หรือเป็นเงาของกันและกันเสมอ ทั้งนี้เพราะ”อำนาจ” (power) จะเกิดมีขึ้นมิได้หากไม่มีอำนาจบังคับบัญชา (command) และการยอมเชื่อฟัง (obedience) จากคนอื่น หรือกลุ่ม ซึ่งการมีอำนาจบังคับบัญชาให้คนอื่นเชื่อฟังได้นั้นจะต้องมี “มาตรการในการให้คุณให้โทษ” ซึ่งมาตรการดังกล่าวอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “มาตรการความรุนแรง” นั่นเอง ซึ่ง เบอรตรอง เดอ จัววองนอง (Bertrand de Jouvenel) กล่าวเอาไว้ว่า “หากปราศจากการบังคับบัญชา และการเชื่อฟังก็ไม่มีอำนาจ” (Hannah Arendt, 1970 : 36-37) ด้วยเหตุนี้แม้ว่า “ความรุนแรง” กับ “อำนาจ” จะแตกต่างกันแต่ก็มักจะปรากฏให้เห็นอยู่ควบคู่กันเสมอ ซึ่งในแง่ของรัฐบาล และการปกครอง (บริหาร) การใช้อำนาจอย่างเดียวโดยไม่พิจารณามาตรการในเรื่องความรุนแรงก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จ หรือหากใช้แต่ความรุนแรงแต่เพียงอย่างเดียว รัฐบาลก็อาจอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้การใช้อำนาจ (power) จำเป็นต้องอาศัยการช่วยเหลือจากผู้อื่น และการใช้อำนาจจะประสบผลสำเร็จได้จะต้องอาศัยการยินยอมเชื่อฟัง หากไม่มีการยินยอมเชื่อฟังอำนาจก็สิ้นสุดเช่นกัน
กรณีของการเมืองร่วมสมัย ในกรณีการเมืองโลก ปัญหาการยอมรับ และความชอบธรรมของมหาอำนาจโลกในกลุ่มประเทศอิสลามหัวรุนแรง และกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ไม่กี่ประเทศจะเห็นได้ว่าอำนาจของสหรัฐอเมริกาแผ่ขยายออกไปทั่วทุกมุมโลก และประสบความสำเร็จประการหนึ่งด้วยเพราะความเหนือกว่าทางเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางอาวุธ และความเข้มแข็งทางทหาร แต่ในแง่ของการยอมรับในกลุ่มประเทศดังกล่าวยังถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นอำนาจของสหรัฐฯ ยังอยู่ที่การยอมรับเชื่อฟังของบรรดาพันธมิตรเก่าแก่ทั้งหลาย และองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ เป็นต้น รวมทั้งประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการความช่วยเหลืออีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สหรัฐอเมริกาจึงกล้าตัดสินใจทำสงคราม และรุกรานประเทศแถบตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีอิรัก และอาฟกานิสถาน อย่างง่ายดาย โดยอาศัยข้ออ้างในนาม “สงครามเพื่อความยุติธรรม” (Just War) (ซึ่งอาจเรียกว่า “สงครามต่อต้านก่อการร้าย”หรืออื่น ๆ ก็ได้) รวมทั้งกรณีการใช้อำนาจเหนือกว่าของจีน ที่กระทำต่อไต้หวัน แม้ว่าประชาชนไต้หวัน และประชาคมโลกจะไม่ยอมรับการกระทำ และการขู่บังคับ (รวมทั้งการออกกฎหมายให้สามารถใช้อำนาจความรุนแรง-สงครามกับไต้หวัน) ของจีนก็ตาม
ประเด็นที่สาม : ความทันสมัย และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของชาติที่มีอารยะธรรม (civilized nations) มิได้เป็นตัวหยุดยั้งความรุนแรง และสงครามลงได้ เราไม่ควรเปรียบเทียบสงครามระหว่างประเทศที่มีอารยะธรรม (civilized nations) ว่ามีความรุนแรงน้อยกว่า หรือมากกว่าประเทศป่าเถื่อน (the Savage) ในยุคก่อน ทั้งนี้เพราะมีเหตุผลปัจจัยที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการพัฒนา และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ในช่วง 2-3 ศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้ศตวรรษที่ 20 ตามทัศนะของเลนิน (Lenin) เต็มไปด้วยสงคราม และการปฏิวัติ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นศตวรรษแห่งความรุนแรง ข้อนี้ถือว่าเป็นความจริง ไม่มีใครปฏิเสธ เพราะอย่างน้อย เพียงศตวรรษเดียวเกิดสงครามโลกขึ้นถึง 2 ครั้ง (หรือ 3 ครั้งหากนับสงครามเย็น) เป็นยุคที่กล่าวได้ว่า “พัฒนาการของความรุนแรงมาถึงจุดที่ไม่มีเป้าหมายทางการเมืองใดจะสามารถรับมือกับศักยภาพการทำลายล้างของมันได้” ทั้งนี้เพราะอาวุธสงครามที่ร้ายแรงก็คือ ขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถทำลายล้างชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ได้เพียงแค่กดปุ่ม แสดงให้เห็นว่าขอบเขตของความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นตามขีดความสามารถในการทำลายล้างของอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการสงคราม
ปัญหาก็คือ ทำอย่างไรจึงจะมีมาตรการยับยั้ง หรือป้องกันมิให้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีนำไปสู่ความคิดที่จะทำลายล้างซึ่งกันและกัน แต่ควรนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ และสังคมให้มนุษย์มีความสุขทั่วหน้ากันมากขึ้น หรือแสวงหาวิธีการป้องกันภัยธรรมชาติ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับโลกในอนาคตอันใกล้ร่วมกัน
ประเด็นที่สี่ : ขนาดความรุนแรงที่อยู่ในความสามารถของประเทศหนึ่งมิได้เป็นหลักประกัน หรือสร้างความมั่นใจว่าจะไม่ถูกตอบโต้โดยประเทศที่อ่อนแอกว่า หรือประเทศเล็ก ๆ หรือการมีอำนาจเหนือทางด้านกำลังอำนาจ (power) มิได้เป็นหลักประกันยืนยันได้ว่าการใช้ศักยภาพดังกล่าวรุกรานประเทศที่อ่อนแอกว่าจะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ต้องกลับไปดูบทเรียน และประสบการณ์ของประเทศมหาอำนาจในอดีตที่ไม่สามารถเอาชนะสงครามในประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนหลายๆ ประเทศ เช่น สงครามเวียตนาม ในแอฟริกา ละตินอเมริกา รวมถึงกรณีอื่น ๆ เช่น การถูกโจมตีก่อวินาศกรรมเมื่อ 11 กันยายน 2001 (9/11) ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จโดยกรณีโจมตีประเทศอิรัก แต่เป้าหมายของการทำสงครามถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นการใช้ความเหนือกว่าในแง่ของเทคโนโลยี และความรุนแรงแต่เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้โดยง่าย หากประสบกับขบวนการต่อต้านของผู้ที่ไม่เชื่อฟังยินยอม รวมทั้งมติ ข้อเรียกร้อง วิจารณ์ประชาคมโลกที่ไม่ต้องการสงคราม และความรุนแรง
ประเด็นที่ห้า : ขบวนการความรุนแรงทางสังคม และการเมืองภายในประเทศ (domestic violence) เช่น ขบวนการนักศึกษา ขบวนการแรงงาน และการเคลื่อนไหวทางการเมือง (political participation) ถือว่าเป็นระดับหนึ่งของความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมดา และเป็นสากลทั่วโลก ซึ่งในทางวิชาการ หรือในกลุ่มผู้เคลื่อนไหวมักจะเรียกว่า “การมีส่วนร่วมทางการเมือง” (political participation) ไม่ว่าขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านี้จะมีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับกลุ่มตัวเอง หรือเรียกร้องความเป็นธรรม หรือเพื่อต่อต้าน หรือสนับสนุนก็ตาม ถือว่าขบวนการที่นำไปสู่ความรุนแรงทางสังคมการเมือง ปัญหาก็คือ รัฐจะต้องมีมาตรการในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้อย่างมีเหตุผล มีความชอบธรรม และการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้ มิฉะนั้นการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงทางการเมือง และสงครามกลางเมืองได้ อย่างไรก็ตามขบวนการเคลื่อนไหวที่เป็นพหุสังคมในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาถือว่ามีความสำคัญต่อกระบวนการสร้างระบอบการเมืองระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และอาจจะเป็นหลักประกันมิให้รัฐบาล หรือผู้นำใช้อำนาจเผด็จการ และเบ็ดเสร็จ ซึ่งกรณีนี้จะนำไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เว้นแต่ในกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ที่ห้ามมิให้มีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมการเมือง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการใช้อำนาจสิทธิ์ขาด และความรุนรงต่อประชาชนอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
ประเด็นที่หก : ประเด็นเรื่องศักดิ์ศรีกับความเป็นทาส กรณีคำกล่าวของฟรานซ์ ฟาน็อน (Frantz Fanon) ที่ว่า “ยอมดออยากอย่างมีศักดิ์ศรี ดีกว่าการกินขนมปังในขณะเป็นทาส” สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นปัญหาทางความคิด ปรัชญาการเมืองในแง่ของการต่อสู้ของคนที่อ่อนแอ ยากจนหรือเสียเปรียบโดยไม่ยอมตกเป็นทาสของคนที่แข็งแรงกว่า หรือมีอำนาจมากกว่า ในสภาพหรือสถานการณ์ของความอดอยาก ทนทุกข์ทรมาน ถือว่าเป็น “ความรุนแรง” ชนิดหนึ่งซึ่งมักจะนำไปสู่ขบวนการต่อสู้ที่กล่าวมาในประเด็นก่อน หากเราวิเคราะห์อย่างละเอียดจะพบว่าในสถานการณ์ของโลกยุคโลกาภาวัฒน์ ที่รัฐชาติเปรียบเสมือนบุคคล ดังนั้นอาจจะต้องกำหนดนิยามความหมายของการตกเป็นทาสเสียใหม่ ซึ่งกระบวนการทำให้ตกเป็นทาสอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่นการทำให้ประเทศหนึ่งยอมรับ และเชื่อฟังในอำนาจเรื่องใดเรื่องหนึ่งของอีกประเทศหนึ่งโดยไม่สามารถอยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธได้ อาจจะเรียกว่าเป็นทาสหรือไม่ รวมทั้งการตกอยู่ภายใต้อำนาจทางทหาร อำนาจเศรษฐกิจ อำนาจทางการเงิน อำนาจทางสังคมวัฒนธรรม และค่านิยม กรณีตัวอย่างร่วมสมัยก็คือ การเลียนแบบ และยึดถือค่านิยมวัฒนธรรมแบบตะวันตกในหมู่ผู้คนในประเทศกำลังพัฒนาที่มาพร้อมกับข้ออ้างเรื่องเสรีภาพ และอิสรภาพ โดยมิได้นำแนวคิดหลักที่เป็นแก่นแท้ของค่านิยมวัฒนธรรมเหล่านั้นมาด้วย ทำให้หลงผิด และคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการ “กินขนมปังขณะเป็นทาส” หรือไม่ เป็นต้น
ประเด็นที่เจ็ด : รัฐบาลไม่อาจใช้วิธีการของความรุนแรงแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองประเทศ แม้แต่รัฐบาลที่เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ (totalitarianism) ถือว่าเป็นประเด็นที่ยังคงมีข้อโต้เถียงกันอยู่เสมอในปัจจุบัน เพราะยังมีหลายประเทศในขณะนี้ที่ยังปกครองประเทศ และประชาชนของตนเองโดยใช้วิธีการที่รุนแรงทั้งทางตรง และทางอ้อม ทั้งนี้เพราะการใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จในที่สุดแล้วก็จะอยู่ไม่ได้ หรืออยู่ได้อย่างลำบากขึ้น เนื่องจาก ประการแรก ขาดความชอบธรรมในแง่ของการปกครองภายใต้กฎหมาย และความเป็นธรรม มนุษยธรรม ประการที่สอง ขาดการเชื่อฟัง ยอมรับ สนับสนุน และการยอมปฏิบัติตามของประชาชนในระยะยาว ประการที่สาม แรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจตะวันตก และประเทศเพื่อบ้าน หรือประเทศคู่ค้าทางเศรษฐกิจ และประการที่สี่ ขบวนการต่อต้านอำนาจเผด็จการภายในประเทศ อย่างไรก็ดี ประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จในความเป็นจริงก็มิได้ใช้มาตรการรุนแรงในการปกครองเสมอไป เพราะยังมีการผ่อนคลายและเปิดโอกาสในแง่ของสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนอยู่ตลอดเสมอ แต่ยังคงสงวนรักษาอำนาจปกครองบังคับที่สำคัญบางอย่างเอาไว้ ในประเด็นนี้สามารถนำไปสู่การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจตะวันตก กับประเทศที่ต่อต้านตะวันตก (มุสลิมหัวรุนแรง และคอมมิวนิสต์หัวเก่า) รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทุนนิยม กับ ประเทศกำลังพัฒนา (ด้อยพัฒนา) ทั้งหลาย ซึ่งมักจะนำไปสู่ความรุนแรงได้เสมอ
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ประเด็นปัญหาปัญหาทางความคิด และปรัชญาการเมืองว่าด้วยความรุนแรง และสงคราม ยังคงนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ให้เห็นความจริงในสังคมการเมืองร่วมสมัยได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ความหนักแน่น และน่าเชื่อถือย่อมขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจในเชิงทฤษฎี กับ ความชัดเจนในปัญหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน
ส่วนที่สาม : การวิจารณ์และอภิปรายสังคมการเมืองไทยร่วมสมัยโดยอาศัยกรอบความคิดทางเมืองเรื่องอำนาจ ความรุนแรง และสงคราม
สังคมการเมืองไทยในรูปแบบที่ประชาชนมีสิทธิ และอำนาจในการปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ และรัฐสภา เริ่มในปี พ.ศ.2475 แต่มิได้หมายความว่าก่อนนั้นไม่มีการเมืองประมาณ 70 ปีที่ผ่านมาการเมืองไทยมี “ความรุนแรงทางการเมือง” เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะกรณีการทำรัฐประหาร และการยึดอำนาจทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จประมาณ 20 ครั้ง ครั้งสุดท้ายกรณี “ร.ส.ช.” เมื่อปี พ.ศ.2534 ซึ่งทั้งหมดมีความรุนแรงที่เกิดกับประชาชน และนักศึกษาผู้เดินขบวนเรียกร้องโดยมีการสังหารหมู่ (massacre) ประมาณ 3-4 ครั้ง ได้แก่ หนึ่งกรณี 14 ตุลาคม 2516 สอง กรณี 6 ตุลาคม 2519 สาม กรณีพฤษภาทมิฬ 2535 และสี่ปัญหาความวุ่นวายและเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 กล่าวโดยสรุประยะเวลาสั้นๆ ของสังคมการเมืองแบบประชาธิปไตยของไทยเต็มไปด้วยความรุนแรง สำหรับในระยะเวลาประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาความรุนแรงเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคแดนภาคใต้ในขบวนการเพื่อแบ่งแยกดินแดน โดยรัฐบาลตอบโต้ด้วยมาตรการที่รุนแรง แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เป็นผลสำเร็จ และเหตุการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด กล่าวได้เหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวถือว่าเป็น “สงครามกลางเมืองย่อยๆ” หรืออาจจะเป็นสงครามกองโจร ก็ได้
ปัญหาความรุนแรงในสังคมการเมือง ไม่ควรมีนิยามที่แคบเฉพาะเรื่องของการเมือง แต่ควรขยายไปถึงความรุนแรงในรูปแบบอื่นๆ ด้วย ในที่นี้อยากจะสรุปให้เห็นถึงความรุนแรงในรูปแบบต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรง
1) ปัญหาความรุนแรงทางการเมือง ได้แก่ การยึดอำนาจ รัฐประหาร การลุกฮือประท้วงและการสังหารหมู่ประชาชน-นักศึกษา รวมทั้งการสังหารนักการเมืองทั้งระดับชาติ และท้องถิ่นรวมทั้งปัญหาการต่อสู้ และแข่งขันทางการเมืองในการเลือกตั้ง เป็นต้น
2) ปัญหาความรุนแรงทางการปกครอง หรือบริหาราชการแผ่นดิน เริ่มตั้งแต่การทุจริตคอรัปชั่น การประท้วงเรียกร้องกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรม การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การทำร้ายผู้ต้องหา การบังคับข่มขู่ประชาชน รวมถึงเรื่องสินบน และการวิ่งเต้นเส้นสาย รวมถึงการปรับปรุงปฏิรูประบบราชการ เป็นต้น
3) ปัญหาความรุนแรงทางสังคม นับว่ามีปัญหามากที่สุด เพราะมีขอบเขตกว้างขวาง และแก้ไขได้ยาก เริ่มตั้งแต่ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด การทะเลาะวิวาท โสเภณี ฯลฯ ปัญหาคนจนและเกษตรกรไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น กรณีที่ดินทำกิน ปัญหาค่าแรงงาน สหภาพแรงงานถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ ปัญหาด้านสุขภาพ อนามัยแพทย์ทำคนไข้เสียชีวิต ปัญหาด้านการศึกษา เป็นต้น
4) ปัญหาความรุนแรงด้านเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การว่างงาน การคุ้มครองผู้บริโภค การผูกขาด สินค้าแพง ราคาน้ำมัน เงินกู้-หนี้สิน ดอกเบี้ย ธุรกิจการเงินนอกระบบ แชร์ ขายตรง และการโฆษณาเกินจริง เป็นต้น
5) ปัญหาความรุนแรงด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ความรุนแรงอยู่ที่การทำลายทรัพยากรธรรมชาติทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ การทำลายสิ่งแวดล้อมกำหนด ได้แก่ น้ำเสีย อากาศเป็นพิษ ดินถูกทำลาย เสียงดังเกินกำหนด กลิ่นเหม็นรบกวน สารเคมีเป็นพิษ เป็นต้น
6) ปัญหาความรุนแรงด้านเอกลักษณ์ และวัฒนธรรม ปัญหาด้านนี้มักปรากฏออกมาในรูปของการทำลายเอกลักษณ์วัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย รวมทั้งเรื่องของพุทธศาสนา ศิลปะ ประติมากรรม ดนตรีไทย และภาษาไทย ซึ่งหากไม่มีการสงวนรักษาเอาไว้คงเดิมก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ใช้ความรุนแรงด้วยเช่นกัน
7) ปัญหาความรุนแรงด้านภัยธรรมชาติ ได้แก่ ไฟไหม้ น้ำท่วม แผ่นดินไหว โคลนถล่ม พายุถล่ม และโลกร้อน เป็นต้น
8) ปัญหาความรุนแรงด้านอื่น ๆ เช่น ความรุนแรงและความขัดแย้งในการแข่งขันกีฬาที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม ความรุนแรงในวงการบันเทิง ศิลปิน ดารา ภาพยนตร์ และดนตรี เป็นต้น
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นได้ในทุกสาขา ทุกระดับ และมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันออกไป ความรุนแรงบางอย่างแก้ไขได้ บางอย่างแก้ไขไม่ได้
และบางอย่างอาจถูกมองข้าม และถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
กล่าวโดยสรุปสงคราม และความรุนแรง (War and Violence) ถือว่าเป็นประเด็นปัญหาสำคัญในการศึกษาปรัชญา และความคิดการเมืองร่วมสมัย ทำให้เราเห็นว่าความคิดเรื่องความรุนแรงและสงครามเข้าไปเกี่ยวข้องกับความคิดทางการเมืองในเรื่องของอำนาจ (power) การปกครองและรัฐบาล (government) ได้อย่างแนบสนิท กล่าวว่าพลังอำนาจ (force) เป็นเครื่องมือของความรุนแรง และความรุนแรง เป็นเครื่องมือของสงคราม และสงครามถือว่าเป็นมาตรการขั้นสุดท้ายของการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะกรณีปัญหาระหว่างประเทศ หรือการเมืองโลกรวมถึงกิจการภายในประเทศก็ย่อมหลีกหนีไม่พ้นเรื่องของความรุนแรง และสงครามในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเสมอ ประเด็นปัญหาที่ควรให้ความเข้าใจก็คือความชอบธรรม และความเป็นธรรมในการใช้ความรุนแรง และการก่อสงคราม ที่จะมีผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อมในระยะสั้น และระยะยาว ดังนั้นบุคคลทุกฝ่าย และทุกประเทศจึงควรตระหนัก และระลึกคิดทบทวนให้รอบคอบอยู่เสมอก่อนที่จะใช้วิธีการที่รุนแรง และสงคราม